สัญญาณการปรับลดดอกเบี้ยของFED แม้FED WATCHTOOL จะยังไม่เปลี่ยนกล่าวคือน่าจะปรับลดในเดือน มิ.ย.67 แต่ความหนักแน่นลดระดับลงโดยความน่าจะเป็นเหลือ 55% ขณะที่ DOT PLOT คาดว่าจะลดลง 2 – 3 ครั้ง สัญญาณดังกล่าวทำให้ USD แข็งค่าขึ้น ซึ่งในทางตรงข้ามเงินบาทก็อ่อนลง ทำให้ความคาดหวังเรื่องแรงหนุนจาก FUND FLOW ช่วงนี้ลดระดับลง ส่วนปัจจัยในประเทศยังเป็นช่วงที่เรารอฟังข่าวดี โดยในสัปดาห์นี้ สภาผู้แทนราษฎร์จะมีการพิจารณางบประมาณฯปี 2567 ในวาระที่ 2 ซึ่งหวังว่ากระบวนการที่เดินหน้าไปจนจบขั้นตอนของวุฒิสภาน่าจะทำให้เบิกจ่ายงบประมาณได้ภายในเดือน เม.ย.67 ซึ่งหากเป็นไปตามกรอบที่วางไว้ปีงบประมาณปี 2567 จะเหลือช่วงเวลาเบิกจ่ายเพียง 6 เดือน ทำให้หวังว่าจะเห็นเม็ดเงินไหลเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่รอฟังคือ DIGITAL WALLETซึ่งเป็นนโยบายเรือธงการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่รอฟังข่าวดี สัปดาห์นี้มีโอกาสที่ SET INDEX จะต้องผันผวนในกรอบแคบๆ ต่อไป โดยวันนี้กำหนดกรอบกาเคลื่อนไหว 1380 – 1397 จุด หุ้น TOP PICK เลือก BJC, JMARTและTASCO
ประเด็นต่างประเทศ มีทั้งดีและร้าย รอผลลัพธ์ในสัปดาห์นี้
สัปดาห์แห่งการประชุมของธนาคารกลางหลายแห่ง ทั้ง BOJ FED และ ECB ซึ่งมีการ กำหนดทิศทางดอกเบี้ยที่แตกต่างกัน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
19 มี.ค.67 จะมีการประชุมของ BOJ ซึ่งผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จาก BLOOMBERG SURVEY เดือน มี.ค.67เผย BOJ มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยในเดือน มี.ค. 67 ที่ 38% เพิ่มขึ้นจากผลสำรวจเดือน ม.ค. ซึ่งอยู่ที่ 8% ขณะที่โอกาสขึ้นดอกเบี้ยใน เดือน เม.ย. อยู่ที่ 54% ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการที่สมาพันธ์สหภาพการค้าของญี่ปุ่น (RENGO) เปิดเผยในวันศุกร์ที่ผ่านมา ว่า พนักงานในบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ของ ญี่ปุ่นจะได้รับการปรับขึ้นค่าจ้างมากที่สุดในรอบกว่า 30 ปี หลังการเจรจาด้านค่าจ้าง ประจำปี ในปีนี้ประสบความสำเร็จ ทำให้สมาชิก 7 ล้านคน ของสหภาพฯ จะได้รับการ ปรับขึ้นเงินเดือนราว 5.28% ในปีงบการเงิน 2567 โดยประเด็นดังกล่าวหากเกิดขึ้น จริง คาดหนุนให้ DOLLAR INDEX อ่อนค่า และเงินบาทแข็งค่าบ้างตามลำดับ
21 มี.ค.67 จะมีการประชุมของ FED และ ECB ซึ่ง BLOOMBERG คาดว่าจะคง ดอกเบี้ยทั้งคู่ ไว้ที่ระดับ 5.50% และ 5.25% ตามลำดับ ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจ คือ DOT PLOT ของ FED ที่จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย โดยนักเศรษฐศาสตร์ ส่วนใหญ่มองว่าเกิดได้ 2 กรณีคือ
1. ลดดอกเบี้ยเท่าเดิม 75 BPS จำนวน 3 ครั้งในปีนี้จาก 5.50% เหลือ 4.75% แต่ส่ง สัญญาณ HAWKISH ขึ้น ผ่านการปรับคาดการณ์ GDP และ PCE ขึ้น
2. ลด DOT PLOT ลงเหลือ 2 ครั้ง จาก 5.50% เหลือ 5.00% ซึ่งต้องติดตามผลลัพธ์หลังการประชุมสัปดาห์นี้ และหากเกิดขึ้นจริง อาจเป็นปัจจัย หลักที่กดดันให้ค่าเงินบาทให้อ่อนค่าต่อได้
สรุป การเฝ้ารอประเด็นดังกล่าวอาจกดดันให้ตลาดหุ้นสหรัฐ และไทยผันผวนในช่วงนี้ พร้อมกับมูลค่าซื้อขายให้อยู่ในระดับต่ำ แต่มีแรงพยุงเล็กๆ จาก BOJ ที่มีโอกาสปรับ ขึ้นดอกเบี้ยในระยะถัดไป คาดหนุนให้ค่าเงินบาทชะลอการอ่อนค่าได้บ้าง ส่วนกรอบ การเคลื่อนไหวของ SET INDEX วันนี้อยู่ในกรอบ 1380-1397 จุด
หุ้นก่อสร้างเฮ!!! ครม. ใกล้เข้าสู่ช่วงเวลาเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 ที่มีระยะใช้จ่ายที่อัดแน่นเพียง 6 เดือนเท่านั้น
การจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 วงเงิน 3.48 ล้าน ล้านบาท ว่ามีมติรับทราบการปรับวันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เร็วขึ้นประมาณ 2 สัปดาห์ โดยมี รายละเอียด ดังนี้
• สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบฯ ปี พ.ศ. 2567 วาระที่ 2- 3 วันที่ 20-21 มี.ค.67
• วุฒิสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบฯ ปี พ.ศ. 2567วันที่ 25-26 มี.ค. 67
• สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นำร่างพระราชบัญญัติงบฯ พ.ศ. 2567 ขึ้น ทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อประกาศบังคับใข้เป็นกฎหมายต่อไป วันที่ 3 เม.ย.67
หลังจากนั้น คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ และทำให้มีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงต้น ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้
ประเด็นดังกล่าว ทำให้มีเวลาใช้งบประมาณปี 67 ที่อัดแน่นเพียง 6 เดือนเท่านั้น และ คาดทำให้ตัวเลขการเบิกจ่ายภาครัฐที่ติดลบติดต่อกัน 6 ไตรมาส สามารถพลิกกับ มาฟื้นตัวได้
ซึ่งสอดคล้องกับคาดการณ์ GDP GROWTH ปีนี้ของสภาพัฒน์ที่อยู่ในช่วง 2.2%- 3.2% ซึ่งส่วนที่ฟื้นตัวเด่นในปีนี้ คือ การอุปโภคภาครัฐฯ(G) ที่คาด +1.5%YOY ฟื้น ตัวเด่นจากปี 2566 ที่ -4.6%YOY
โดยฝ่ายวิจัยได้รวมรวมข้อมูลในอดีต ซึ่งสถิติบ่งชี้ว่า กลุ่มหุ้นที่มักปรับขึ้นเด่น เวลามี การเบิกจ่ายภาครัฐเติบโตเด่น คือ กลุ่ม CONMAT, CONS ที่ปรับตัวขึ้นได้โดดเด่น กว่าตลาด
และเริ่มเห็น MOMENTUM ประเด็นการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณที่ใกล้เข้ามา จากการ เก็งกำไรของนักลงทุนในวันศุกร์ที่ 15 มี.ค. 67 หนุนกลุ่มหุ้น STEEL +8.9%, CONS +1.1%, CONMAT +0.3% ขณะที่ SET INDEX -0.6%
สรุป การที่ ครม.เร่งเบิกจ่ายงบประมาณเร็วขึ้น และจะมีผลบังคับใช้ช่วงต้นไตรมาส 2 คาดหนุนให้ GDP ไตรมาส 2 สดใสอีกครั้ง ส่วนเด่นๆ คือ การอุปโภคภาครัฐฯ (G) เพราะมีช่วงเวลาในการใช้จ่ายเพียง 6 เดือนเท่านั้น ดังนั้นกลยุทธ์แนะนำลงทุนหุ้น รับเหมาก่อสร้าง CK STEC TTCL, วัสดุก่อสร้าง SCC SCCC TASCO รวมถึงเก็ง กำไรในหุ้นกลุ่มเหล็ก BSBM, TMT, TSTH, INOX ซึ่งฝ่ายวิจัยฯ คาดว่า ราคาหุ้นจะ กลับมา OUTPERFORM ตลาดอีกครั้ง
หวังแรงขายจากต่างชาติลดลง หลังปรับพอร์ตตาม FTSE เสร็จ
วันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยผันผวน ปรับตัวลดลง 8.89 จุด หรือ -0.64% มาอยู่ที่ 1386.04 จุด โดยมีมูลค่าซื้อขายเข้ามาช่วงท้ายก่อนตลาดปิด (ATC) สูงถึง 1.5 หมื่น ล้านบาท หนุนมูลค่าซื้อขายทั้งวันที่ 4.9 หมื่นล้านบาท พร้อมกับ FUND FLOW ต่างชาติที่ไหลออกสุทธิ 2.2 พันล้านบาท
ส่วนหนึ่งเกิดจากกองทุนต่างประเทศได้มีการปรับพอร์ตหุ้นไทยตามดัชนี FTSE โดย หุ้นที่ถูกปรับออกจาก FTSE LARGE CAP มาสู่ สู่ MID CAP คือ IVL, SCGP, HMPRO, CPF เป็นต้น
ประเด็นการปรับพอร์ตตามดัชนีต่างๆ ผ่านพ้นไปแล้ว หวังว่าแรงขายจากต่างชาติ หลังจากนี้น่าจะลดลง และสลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นได้ สะท้อนได้จาก ตลาดหุ้นไทยเริ่มแข็งแรงขึ้น และกลับมา OUTPERFORM ในเชิงเปรียบเทียบ +1.1%MTD มากกว่าตลาดหุ้นโลก MSCI ACWI +0.8%MTD ทำให้ดัชนีต่างๆ ทั้ง MSCI และ FTSE มีโอกาสลดน้ำหนักหุ้นไทยในรอบถัดไป (ประกาศช่วงเดือน พ.ค. 67) น้อยลง
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities