ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ย่อตัวต่อเนื่อง -0.6% ถึง-1.4%โดยนักลงทุนเฝ้ารอดูรายงาน การประชุมของ Fed หรือ Fed Minutesในคืนนี้ซึ่งล่าสุดนักลงทุนให้นำหนักมาก ขึ้นในการที่ Fed จะคงดอกเบี้ยไปถึงเดือน พ.ค. 67 ต่างกับตลาดหุ้นจีน +0.6% และยังได้แรงหนุนจากการกระตุ้นเศรษฐกิจลดดอกเบี้ย LPR 5 ปีลงจาก 4.2% เหลือ 3.95%, เมืองไห่หนาน ลดเงินดาวน์บ้านหลังแรกจาก 25% เหลือ 20% และ กลต. ยังเตรียมดำเนินนโยบายสร้างเสถียรตลาดหุ้นจีน
กลับมาที่ประเทศไทย ครม. มีการอนุมัติงบ 104.87 ล้านบาท จัดงานเย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 11-15 เม.ย. นี้ และขยายเวลาการยกเว้นหนังสือเดินทาง คาซัคสถานไปอีก 6 เดือน จนถึงวันที่ 31 ส.ค. 67 ถือ Sentiment หนุนหุ้นโรงแรม , ท่องเที่ยว, ค้าปลีก เล็กๆ
ส่วนภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังซึมๆ เพราะอยู่ในช่วงรายงานงบ 4Q66 ที่ส่วนใหญ่ ออกมาต่ำคาด สัดส่วนราว 70% พร้อมกับกองทุนต่างชาติอยู่ในช่วงจัดพอร์ต ตาม MSCI และ FTSE ที่ลดน้ำหนักหุ้นไทยลงในบางบริษัท ที่สำคัญมูลค่าซื้อขาย จาก Program Trade เร่งตัวขึ้น โดยเดือน ม.ค. 67 มีสัดส่วนสูงถึง 43.3% ของ มูลค่าซื้อขายทั้งหมด และสูงสุดเมื่อเทียบกับเดือนอื่นๆ ที่ผ่านมา อาจเป็นอีกส่วน ที่กดดันหุ้นที่กำไรต่ำคาดได้ Toppick เลือกหุ้นผันผวนต่ำ BDMS, BEM, CPALL (BK:CPALL)
ตลาดหุ้นดูซึมๆ หลังไร้ปัจจัยหนุนใหม่ๆ
วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดตัวในแดนลบราว -0.2% ถึง -1.4% โดยแรงกดดันส่วน ใหญ่อยู่ในหุ้นกลุ่มเทคฯ เนื่องจากคาดว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมี โอกาสชะลอตัวลง บวกกับอยู่ในช่วงที่ยังมีความไม่มั่นในในเรื่องทิศทางดอกเบี้ย ซึ่ง อาจทรงตัวอยู่ในระดับสูงนานกว่าตลาดคาดการณ์ หลังเงินเฟ้อสหรัฐฯ ล่าสุด ยังยืน เหนือกรอบเป้าหมายที่ 2% (เดือน ม.ค. +3.1%YoY) อีกทั้งดัชนีเงินเฟ้อ PPI ในเดือน ม.ค ยังออกมาสูงกว่าคาด
ขณะที่ Fed Watch Tool ประเมินโอกาสที่ Fed จะปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือน เดือน พ.ค. มีน้ำหนักน้อยลงเรื่อยๆ โดย Probability ล่าสุดเหลือเพียง 32% และเพิ่ม น้ำหนักในการคงดอกเบี้ยเป็น 65.7% อย่างไรก็ตามยังต้องรอติดตามทิศทาง ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ต่อไป ทั้งที่มาจากตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ รวมถึงถ้อยแถลงของ เจ้าหน้าที่ Fed ซึ่งจะมี Events สำคัญหลักๆ ก่อนการประชุม Fed รอบเดือน มี.ค. อาทิ
• คืนนี้ (22 ก.พ. 67) เวลาตี 2 ตามเวลาประเทศไทย จับตารายงานการประชุม คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC Fed Minute) ประจำวันที่ 30-31 ม.ค.67
• วันที่ 6-7 มี.ค. 67 จับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธาน Fed ที่ มีกำหนดรอบครึ่งปีในการรายงานนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ ต่อสภาคองเกรส
สรุป ปัจจัยแวดล้อมที่ยังไร้ปัจจัยหนุนใหม่ๆ อาจกดดันให้ตลาดหุ้นเคลื่อนไหวอยู่ใน กรอบแคบ หลังรอความชัดเจนในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินในสหรัฐฯ
รัฐบาลจีน เริ่มออกมาตรการกระตุ้น ส่วนไทยคาดได้ประโยชน์ จากจำนวนนักท่องเที่ยวเร่งตัว
ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 5 ปีลง 0.25% สู่ระดับ 3.95% ซึ่งเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยประเภทดังกล่าวเป็น ครั้งแรกในรอบ 8 เดือนหรือนับตั้งแต่ มิ.ย.66 ขณะเดียวกัน PBOC ได้คงอัตรา ดอกเบี้ย LPR ประเภท 1 ปีเอาไว้ที่ระดับ 3.45% ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของ ตลาด โดยอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 1 ปีของจีนเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในการ กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปี จะช่วยลดภาระหนี้ให้กับภาคครัวเรือนและจะช่วยกระตุ้นการซื้อบ้านในจีนให้ปรับตัว สูงขึ้นด้วย
ขณะที่มาตรการพยุงเศรษฐกิจอื่นๆของรัฐบาลจีน คือ มณฑลไห่หนาน ปรับลด ดอกเบี้ยบ้านหลังแรกลงจาก 25% สู่ระดับ 20%(ระดับต่ำสุดตามที่ทางการกำหนด) และ ก.ล.ต. จีน(CSRC) เตรียมดำเนินนโยบายสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดหุ้น หลัง เปิด Hearingรับฟังความเห็นในช่วงที่ผ่านมา
ซึ่งหากมาตรการพยุงเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน ได้ผลรับที่มีประสิทธิภาพคาดทำให้ ตัวเลขเศรษฐกิจดีขึ้นตามลำดับ และหนุนให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทย มากขึ้น ซึ่งล่าสุด ข้อมูลสถิติของ ททท. มีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่ต้นปี อยู่ที่ 5.2 ล้านคน (+49%YoY) เป็นประชากรจีนมากสุดราว 9.8 แสนคน (สัดส่วนเกือบ 20%)
ขณะที่ประเทศไทยวานนี้ก็มีประชุม ครม. เช่นกันโดยมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว เพิ่มเติม อาทิ อนุมัติงบ 104.87 ล้านบาท จัดงานเย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 11-15 เม.ย.67 และ ขยายเวลาการยกเว้นหนังสือเดินทางคาซัคสถานไปอีก 6 เดือน จนถึง วันที่ 31 ส.ค. 67 ประเด็นดังกล่าว คาดหนุนให้หุ้นในกลุ่ม โรงแรม ท่องเที่ยว ค้าปลีก มี โอกาส Outperform ตลาดฯในระยะถัดไป อาทิ AOT (BK:AOT) CENTEL MINT ERW CPALL CRC CPN BJC เป็นต้น
สรุป เริ่มเห็นมาตรการพยุงเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนมากขึ้น คาดหนุนให้เศรษฐกิจ และ ตลาดหุ้นจีนกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง ประเทศไทยคาดได้ประโยชน์จาก จำนวนนักท่องเที่ยวที่จะมากขึ้นตามลำดับ ดังนั้น คาดหนุนให้หุ้นในกลุ่ม โรงแรม ท่องเที่ยว ค้าปลีก มีโอกาส OUTPERFORM ตลาดฯในระยะถัดไป อาทิ AOT CENTEL MINT ERW CPALL CRC CPN BJC เป็นต้น
SET Volume หาย Program Trading มีบทมากมากขึ้น
วานนี้ SET index ปรับตัวลง 6.26 จุด ปิดที่ระดับ 1381.07 จุดด้วยปริมาณการซื้อ ขาย 4.04 หมื่นล้านบาท(ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปีytd 4.3 หมื่นล้านบาท) การที่ปริมาณ การซื้อขายในช่วงต้นปีอยู่ระดับดังกล่าว ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับปีก่อนๆ ที่ในช่วง ไตรมาส 1 มักมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 6-7 หมื่นล้านบาท ด้วยสาเหตุหลัก คือ กำไร บริษัทจดทะเบียนงวด 4Q66 ที่ออกมาต่ำคาด และ กองทุนต่างชาติอยู่ในช่วงจัด พอร์ตตาม MSCI และ FTSE ที่ลดน้ำหนักหุ้นไทยลงในบางบริษัท
ดังนั้นด้วยปริมาณการซื้อขายในปัจจุบันที่น้อยลง ทำให้Program Trading มีบทบาท มากขึ้นทันที ซึ่งล่าสุด PROGRAM TRADING มีสัดส่วนถึง43% ของทั้งตลาด ซึ่งทำ ให้ตลาดผันผวนกว่าปกติ อาทิ ราคาหลุดแนวรับสำคัญ หลังจากนั้นจะถูกแรงขาย กดดันให้ลงลึกกว่าปกติ
ดังนั้นด้วยการกระทำดังกล่าวของ Program Trading ทำให้มีหุ้นใน SET Index ที่ ราคาหุ้นปัจจุบันต่ำกว่าระดับ 52 สัปดาห์อยู่ถึง 8.7% (สูงสุดในรอบ 1 เดือน)
ยกตัวอย่างหุ้นที่ทำจุดสูงสุด และต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์ อาทิ SCGP RAM BYD ORI VGI THANI GLAND SUPER EASTW เป็นต้น
สรุป การที่ SET index มีปริมาณการซื้อขายที่เบาบางลง ทำให้ PROGRAM TRADING มีบทมากมากขึ้นอย่างมีนัยฯ และทำให้ราคาหุ้นผันผวนกว่าเหตุอันควร ดังนั้นระยะถัดไป หากความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมา และหนุนให้ปริมาณการซื้อขาย เพิ่มขึ้น คาดทำให้ SET Index มีประสิทธิภาพมากขึ้นตามลำดับ
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities