ในทาง Tehcnical วานนี้ SET Index ปรับลดลงมาปิดบริเวณแนวรับสำคัญ 1380 จุด ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะเกิด Technical Rebound แต่ก็น่าจะเป็น กรอบแคบๆ เนื่องจากปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานยังไม่มีแรงเสริม โดยปัจจุบัน ความกังวลเรื่องทิศทางอัตราดอกเบี้ยเริ่มกลับมา หลังอุณหภูมิความเสี่ยงเชิงภูมิ รัฐศาสตร์ร้อนแรงขึ้นเฉพาะอย่างยิ่งในตะวันออกกลางและทะเลแดง ซึ่งมองว่าจะ สร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อประเภท Cost Push และในอีกด้านหนึ่งเห็นตัวเลข Retail Saleในสหรัฐที่ออกมาสูงกว่าคาด ก็เกรงว่าจะสร้างเงินเฟ้อแบบ Demand Pull ผลดังกล่าวทำให้มุมมองเรื่องดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ที่สะท้อนผ่าน Fed Watch Tool เปลี่ยนไป โดยส่วนที่คิดว่าจะลดดอกเบี้ยในเดือน มี.ค.67 ลดลง เหลือ 57.6% ผลดังกล่าวทำให้แรงกดดันต่อราคาหุ้น ส่วนอีกเรื่องที่สร้างแรง กดดันคือเศรษฐกิจจีน ที่กังวลว่าการฟื้นตัวอาจล่าช้ากว่าคาด
SET Index ปรับฐานลงมาบริเวณแนวรับที่ 1380 จุด ทำให้มีโอกาสเกิด Technical Rebound วันนี้ประเมินกรอบ SET Index ที่ 1375 – 1388 จุด หุ้น Top Pick เลือก III, MAJOR และ SCGP
ปัจจัยแวดล้อมยังอึมครึม อาจกดดันสินทรัพย์เสี่ยงช่วงสั้น
ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะสิ้นสุด ยังเป็นความเสี่ยงที่อาจเป็นแรง กระตุ้นให้เงินเฟ้อจากฝั่ง Supply กลับมาอีกครั้ง (Cost Push Inflation) ทั้งนี้ สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงที่อาจจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงเงินเฟ้อที่มาจากฝั่ง Demand มาก ขึ้นด้วย (Demand Pull Inflation) หลังภาพรวมของการผลิตและการบริโภคยังดูดี สะท้อนจาก Retail Sales และ Industrial Production ที่สูงกว่าคาด
ภาวะดังกล่าวอาจกดดันให้ Fed ตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงนานกว่างตลาดคาด โดย Fed Watch Tool ปรับเพิ่มน้ำหนักการคงดอกเบี้ยเดือน มี.ค. ที่ 40.9% (เดิมคาด 20%)
อีกมุมหนึ่งในภาพภาพรวมเศรษฐกิจจีนส่งสัญญาณฟื้นตัวไม่แข็งแรง โดยมีภาคอสัง หาฯ และ Demamd ที่ชะลอเป็นตัวฉุดรั้ง ขณะที่ นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน กล่าว ในการประชุม World Economic Forum (WEF) ที่เมืองดาวอสว่า เศรษฐกิจจีน ขยายตัวราว 5.2% ในปี 2566 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลจีนกำหนดไว้ที่ 5% โดยไม่ ต้องพึ่งพามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ เนื่องจากรัฐบาลไม่ต้องการให้ เศรษฐกิจจีนเติบโตแค่ในระยะสั้น แต่เผชิญกับความเสี่ยงในระยะยาว ซึ่งอาจเรียก ความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กลับมาได้ แต่ในอีกมุมหนึ่งทำให้เกิดความกังวลว่า รัฐบาลจีนอาจจะไม่ได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแรงๆ จึงอาจเห็นภาพการฟื้น ตัวองเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่หวือหวา
นโยบาย Digital Wallet ส่อแววเลื่อนออกไป กดดัน SET และหุ้น หลายอุตสาหกรรม
หลังจากที่ช่วงต้นสัปดาห์มีการเลื่อนการประชุม Digital Wallet ไม่มีกำหนด และ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีการเสนอแนะ โดยแบ่งเป็นประเด็นสุ่มเสี่ยง 4 ข้อใหญ่ และข้อเสนอแนะ 8 ข้อ (รายละเอียดเพิ่มเติมใน บทวิเคราะห์ Market Talk ประจำวันที่ 17 ม.ค.67) ล่าสุด รมช.คลัง ยืนยันว่า รัฐบาล ยังเดินหน้าโครงการตามเดิม แม้จะต้องยอมรับว่าเวลาในการดำเนินโครงการอาจไม่ ทันกำหนดการเดิม คือ พ.ค.67 เนื่องจากกระชั้นชิดเข้ามาทุกที โดยอาจมีโอกาสขยับ กรอบเวลาไปเป็น มิ.ย. 67ได้ประเด็นดังกล่าวสร้าง Sentiment เชิงลบต่อหุ้นที่เคยได้ Sentiment เชิงบวกมาก่อนหน้านี้ อาท
• กลุ่มท่องเที่ยว CENTEL ERW
• กลุ่มอาหาร MINT M AU
• กลุ่มห้างสรรพสินค้า CPN
• กลุ่มการเงินและโฆษณา KTC AEONTS
• กลุ่มอุปโภค/บริโภค CPAXT HMPRO ADVANC COM7 CRC CPALL (BK:CPALL) BJC CBG OSP
อย่างไรก็ตามหากนโยบายดังกล่าวไม่เกิดขึ้นจริง ก็ถือเป็นสิ่งที่ดีต่อฐานะการเงินของ ประเทศในระบะถัดไป เนื่องจากหากรัฐบาลกู้หนี้เพิ่มหนี้อีก 5 แสนล้านบาท จะทำให้หนี้ สาธารณะ หรือ Public Debt/GDP สูงสู่ระดับ 65% ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 62.14%
สรุป สัญญาณที่ไม่ดีของนโยบาย Digital Wallet ทั้งการเลื่อนกรอบเวลาจากเดิม และ ความเสี่ยงของการไม่เกิดขึ้นของนโยบายดังกล่าว ล้วนสร้าง Sentiment เชิงลบต่อ SET Index และหุ้นที่เคยได้รับ Sentiment เชิงบวกมาก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามหาก พิจารณาในมุมฐานะการคลังของประเทศ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากจะทำให้ภาระ ทางการคลังเบาลง และสามารถมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในระยะถัดไป หนุน ให้เงินบาทเร่งตัวแข็งค่าในอนาคต
ค้นหาหุ้น 4Q66 เติบโตเด่นน่าสะสม ชอบ .... SCGP MAJOR
สัปดาห์นี้เป็นจุดเริ่มต้นในการรายงานงบ ธ.พ. งวด 4Q66 ฝ่ายวิจัยฯ คาดกำไรสุทธิ กลุ่มฯ (8 ธนาคาร) ที่ 5.5 หมื่นล้านบาท และสัปดาห์ถัดๆ ไปจะมีการทยอยประกาศ งบของกลุ่ม Real Sector ออกมาเรื่อยๆ อาทิ SCGP-SCGD(23 ม.ค.67), SCC(24 ม.ค.67), PTTEP(30 ม.ค.67)
ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการรวบรวมข้อมูลกำไรบริษัทจาก Bloomberg Consensus ทั้งหมด 216 บริษัท (มีสัดส่วน 82% ของ Market Cap ทั้งตลาดฯ) มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.16แสนล้านบาท (ลดลง -15.4%QoQ, +36.8%YoY)
โดยแรงกดดันให้กำไรงวด 4Q66 ลดลง QoQ หลักๆ มาจากหุ้นอิงราคาน้ำมัน ที่ปรับ ลดลงต่อเนื่องจาก 90 เหรียญ/บาร์เรล ในช่วงปลาย 3Q66 เหลือ 70 เหรียญในช่วง ปลาย 4Q66 กดดันให้หุ้นกลุ่มพลังงานเกิด Stock Loss อาทิ PTT (BK:PTT) PTTEP IRPC TOP ขณะที่การเติบโต YoY โดดเด่น ส่วนใหญ่เกิดจากหุ้นในกลุ่มที่อิงราคา Commodity ต่างๆ จากฐานที่ต่ำกว่าปกติ อย่าง PETRO, PKG, PERSON, ENERG, BANK เป็นต้น
และหากแบ่งออกเป็นราย Sector พบว่า มีกลุ่มที่กำไรเติบโตเด่น ทั้ง QoQ และ YoY คือ PETRO, ICT, PERSON, MEDIA, COMM เป็นต้น
ยามตลาดผันผวน ฝ่ายวิจัยฯ แนะนำสะสมหุ้นพื้นฐานดี แนวโน้มกำไรงวด 4Q66 มี โอกาสเติบโตเด่นทั้ง QoQ และ YoY อาทิ CPAXT, ITC, INTUCH, ADVANC, SCCC, MAJOR, SCGP ฯลฯ
สรุป เริ่มทยอยเข้าสู่ฤดูกาลประกาศงบ ซึ่งอาจทำให้ตลาดฯผันผวนได้ กลยุทธ์การ ลงทุนเน้นหุ้นที่กำไร 4Q66 เติบโตเด่นทั้ง QoQ และ YoY อาทิ CPAXT, ITC, INTUCH, ADVANC, SCCC, MAJOR, SCGP ฯลฯ คาดสามารถ Outperform ตลาดฯในช่วงผันผวนได้ ส่วน Toppicks เลือก MAJOR SCGP และ III
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities