-
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผลการประชุมเฟดล่าสุด ทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยลงในปีหน้าได้ราว 6 ครั้ง หรือ -150bps
-
ควรจับตา ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) รวมถึง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งจะกระทบต่อมุมมองแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด และสร้างความผันผวนให้ตลาดได้
-
เงินดอลลาร์ยังมีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้ หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของเฟดลง ตามข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจออกมาดีกว่าคาดหรือถ้อยแถลงบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่เน้นย้ำว่าเฟดยังไม่รีบลดดอกเบี้ยลง นอกจากนี้ เงินดอลลาร์อาจได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ถ้า BOJ ไม่ได้ส่งสัญญาณปรับนโยบายการเงินให้เข้มงวดมากขึ้นตามคาด ในส่วนของค่าเงินบาท โมเมนตัมการแข็งค่าเริ่มแผ่วลง จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ทั้งนี้ ต้องจับตาทิศทางราคาทองคำ เนื่องจาก โฟลว์ธุรกรรมทองคำยังคงส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทได้พอสมควร อนึ่ง ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติก็มีแนวโน้มไหลเข้าตลาดหุ้นไทยได้ หลังนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยกว่า +5.4 พันล้านบาทในสัปดาห์ก่อนหน้า
-
มองกรอบเงินบาทสัปดาห์นี้ 34.65-35.20 บาท/ดอลลาร์
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
-
ฝั่งสหรัฐฯ – แม้ว่าสัปดาห์นี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญฝั่งสหรัฐฯ อาจมีไม่มาก ทว่า ควรระวังการปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด หลังจากล่าสุดผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยลงได้ราว 6 ครั้ง (-150bps) ในปีหน้า ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยที่เร็วและลึกกว่าที่เฟดประเมินไว้ใน Dot Plot ล่าสุด ทำให้ในสัปดาห์นี้ บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอาจออกมาให้ความเห็นเพื่อลดความคาดหวังของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดดังกล่าว ขณะเดียวกัน ควรจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดย Conference Board, ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) และอัตราเงินเฟ้อ PCE โดยหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด หรือ ยังสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่สดใส ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ยเฟดลงบ้าง ซึ่งอาจทำให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นได้
-
ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อาทิ อัตราเงินเฟ้อ CPI รวมถึงยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของอังกฤษ และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (Ifo Business Climate) โดยหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว สะท้อนภาพการชะลอตัวลงของเงินเฟ้อและกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น ก็อาจยิ่งกดดันให้สกุลเงินฝั่งยุโรป อย่าง เงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) อ่อนค่าลงได้บ้าง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจมองว่า ทั้ง BOE และ ECB ก็มีแนวโน้มที่จะทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในปีหน้า ไม่ต่างจากเฟด หรือ อาจจะลดดอกเบี้ยลงได้เร็วและลึกกว่าเฟด หากภาพรวมเศรษฐกิจซบเซาหนักกว่าคาด
-
ฝั่งเอเชีย – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยเราประเมินว่า BOJ จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ -0.10% ทั้งนี้ เรามองว่า มีความเป็นไปได้ที่ทาง BOJ อาจจะมีการปรับเปลี่ยนนโยบาย Yield Curve Control (YCC) เพื่อสะท้อนการทยอยใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น หลังภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในส่วนภาคการบริการ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ที่ไม่รวมผลของราคาพลังงานและอาหารสด (Core Core CPI) ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 4% โดย BOJ อาจประกาศยกเลิกการทำ YCC ได้ เพื่อเป็นการปูทางไปสู่การทยอยปรับใช้นโยบายการเงินให้เข้มงวดมากขึ้น เช่น การทยอยขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หาก BOJ เริ่มมองว่า มีแนวโน้มที่ทาง BOJ จะสามารถบรรลุเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่ 2% ได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ เรามองว่า ทาง BOJ ก็อาจพยายามลดความคาดหวังของตลาดต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงบ้าง ด้วยการส่งสัญญาณว่า BOJ พร้อมที่จะกลับมาใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นได้ ตามความเหมาะสม โดยเฉพาะในกรณีที่ เศรษฐกิจญี่ปุ่นเผชิญความเสี่ยง จนอาจทำให้ BOJ ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อได้ อนึ่ง หาก BOJ มีการปรับนโยบายการเงินในเชิงที่เข้มงวดมากขึ้น ตามที่เราประเมินไว้ ก็มีโอกาสช่วยหนุนให้ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทยอยแข็งค่าขึ้นได้บ้าง แต่อาจติดโซนแนวรับหลักแถว 141 เยนต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดได้คาดหวังต่อแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินดังกล่าวมาพอสมควรแล้ว ขณะที่ หาก BOJ ไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดตามคาด ก็อาจเปิดความเสี่ยงที่เงินเยนญี่ปุ่นจะอ่อนค่า เร็วและแรง สู่ระดับ 145 เยนต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก และนอกเหนือจากผลการประชุม BOJ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาท่าทีของทางธนาคารกลางจีน (PBOC) ว่าจะมีการส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหรือไม่ หลังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนยังคงซบเซากว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างลดความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ดังจะเห็นได้จากการที่ บรรดานักลงทุนสถาบันส่วนใหญ่ ต่างลดคำแนะนำการลงทุนในสินทรัพย์จีน โดยเฉพาะ หุ้นจีน เป็น Underweight