BOND YIELD ช่วงเดือน พ.ย.66 ทั้งสหรัฐ และ บ้านเราปรับตัวลดลงแรง เฉพาะ อย่างยิ่ง BOND อายุ 10 ปี ซึ่ง YIELD ในบ้านเราลดลง 0.25% และ สหรัฐ ลดลง 0.48% ภาวะดังกล่าวสะท้อนภาพของทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่จบวัฎจักรขาขึ้น และกำลังรอเวลาปรับลดลง พัฒนาการต่อไปเชื่อว่าจะเห็นการไหลของเม็ดเงิน ลงทุน เข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงได้เพิ่มขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งตลาดหุ้นที่ VALUATION ต่ำ อย่างบ้านเรา ซึ่งนอกจากจะมีความถูกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยังมีสถานะการถือ ครองของต่างชาติที่ต่ำผิดปกติ และมีแรงหนุนจากเม็ดเงินลงทุนสถาบันในประเทศ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการจัดเตรียมออก THAILAND ESG FUND ซึ่งเป็นกองทุนที่ ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับวันนี้รอดูตัวเลข GDP งวด 3Q66 โดย CONSENSUS คาดการณ์ที่ 2.2% YOY ทั้งนี้หากทั้งปีจะโต 3% YOY ก็ หมายความว่างวด 4Q66 ต้องโตราว 5% YOY
เชื่อว่า SET INDEX ยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปได้ต่อ ทั้งนี้ประเมินจากปัจจัย แวดล้อมทางพื้นฐานที่ยังสนับสนุนอยู่ อย่างไรก็ตามยังมีด่านที่ 1420 จุด เป็น สำคัญ วันนี้กำหนดกรอบ 1405-1425 จุด TOP PICK เลือก BEM, GULF และ PTTGC
ราคาน้ำมันขึ้นแรง รอลุ้น GDP ไทย 3Q66 9.30 น.
ภาพรวมตลาดหุ้นในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาค่อนข้างทรงตัว หลังไร้ปัจจัยหนุน ใหม่ๆ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ดีดตัวขึ้นราว 4.1% ใกล้แตะ 76 เหรียญฯ/บาเรล เมื่อวันศุกร์ด้วยแรงเก็งกำไรช่วงก่อนหน้าที่ปรับตัวลงแรงนับตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย. ราว -6.3%MTD บวกกับมีปัจจัยหนุนมาจากสหรัฐบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรกับเรือ บรรทุกน้ำมันรัสเซียที่ขายน้ำมันเกินกว่าเพดานราคาสูงสุดของกลุ่มประเทศ G7 รวมถึงรอติดตามการประชุม OPEC+ ในวันที่ 26 พ.ย. นี้ ซึ่งภาวะดังกล่าวน่าจะเป็น
สำหรับประเด็นภายในประเทศ เช้านี้เวลา 9.30 น. สภาพัฒน์มีรายงานภาพเศรษฐกิจ ไทยใน 3Q66 พร้อมกับแนวโน้มในปี 2567 โดย CONSENSUS คาด GDP GROWTH ใน 3Q66 จะอยู่ที่ +1.3%QOQ และ 2.2%YOY ขณะที่เศรษฐกิจไทยในปี หน้ามีโอกาสที่จะขยายตัวได้ต่อเนื่องด้วยแรงหนุนของมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ อาทิ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ, นโยบาย DIGITAL WALLET, นโยบาย E-REFUND เป็นต้น รวมถึงภาคการส่งออกที่เริ่มเห็นการฟื้นตัวนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 66 โดยการ เปลี่ยนแปลง YOY พลิกกลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 12 เดือน ซึ่งภาวะข้างต้นน่าจะ เป็นกระแสบวกต่อหุ้นที่อิงการขยายตัวของ DOMESTIC CONSUMPTION อาทิ BJC CRC CPALL (BK:CPALL) BEM ERW รวมถึงหุ้นอิงส่งออกฟื้นตัว อาทิ TU CBG
สรุป ภาพรวมตลาดหุ้นค่อนข้างทรงตัว หลังไร้ปัจจัยหนุนใหม่ๆ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ ดีดตัวขึ้นด้วยแรงเก็งกำไรหลังสหรัฐกำหนดมาตรการคว่ำบาตรเรือบรรทุกน้ำมัน ของรัสเซีย รวมถึงรอติดตามการประชุม OPEC+ ในวันที่ 26 พ.ย. นี้ ส่วนบ้านเราเช้า นี้เวลา เช้านี้เวลา 9.30 น. สภาพัฒน์มีรายงานภาพเศรษฐกิจไทยใน 3Q66 พร้อมกับ แนวโน้มในปี 2567
FUND FLOW ค่อยๆ ไหลกลับมาในตลาดการเงินไทย
ในช่วงที่ผ่านมา ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทยในเดือน ต.ค. 1.25 หมื่นล้าน บาท (หลังจากขายสุทธิมา 2 เดือน 8.8 หมื่นล้านบาท) และซื้อต่อเนื่องในเดือน พ.ย. อีก 7.0 พันล้านบาท (MTD) กดดันให้ BOND YIELD 10 ปี ของไทยปรับตัวลงแรง - 25 BPS. (MTD) หรือราคาตราสารหนี้ไทยระยะยาวเพิ่มได้เร็วและแรงในช่วงสั้น ซึ่ง ระยะถัดไปค่าว่าจะมีเม็ดเงินบางส่วนไหลเข้ามาที่ตลาดหุ้นเช่นกัน สังเกตได้จากในช่วง นี้ เริ่มเห็นต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทย 3 ใน 4 วันทำการ ด้วยมูลค่ารวม 2.04 พันล้านบาท
นอกจากนี้ยังเห็นมูลค่า SHORT SELL ค่อยๆ ลดลง โดยในสัปดาห์ที่แล้ว เหลือ สัดส่วน SHORT SELL 9.3%, และเดือนนี้MTD 9.9% ลดลงจากเดือน ต.ค. และ ก.ย. ที่ 11.3% และ 11.2% ตามลำดับ
สรุป FUND FLOW ที่เริ่มกลับมาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทย ปริมาณการ SHORT SELL ที่ค่อยๆ ลดลง คาดจะช่วยพยุงให้ SET INDEX ค่อยๆ ฟื้นตัวในช่วงที่เหลือของปีได้
ตลาดตราสารหนี้ทำรูปแบบ BULL FLATTENING CURVE บ่งชี้ เม็ดเงินมีโอกาสไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นในระยะถัดไป
ตั้งแต่ต้นเดือน ตลาดตราสารหนี้ระยะยาว(10 ปี) ลงแรงกว่าระยะสั้น(2 ปี) มาก (BULL FLATTENING) กล่าวคือ เม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงสั้น ส่งผลให้ราคา หุ้นระยะสั้นจะไม่ค่อยดี และจะตามมาด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคาร กลางจากนั้นก็จะเป็นสัญญาณที่ดีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในระยะถัดไป โดยมี รายละเอียดเชิงเปรียบเทียบ ดังนี้
• สหรัฐฯ BOND YIELD 10Y -49 BPS. / BOND YIELD 2Y -20 BPS.
• ไทย BOND YIELD 10Y -26 BPS. / BOND YIELD 2Y -5 BPS
หากพิจารณาผลตอบแทนที่ได้ของนักลงทุน จะเห็นได้ว่าหากลงทุน BOND 10Y ของ สหรัฐฯ หรือไทยตั้งแต่ต้นเดือน จะได้ผลตอบแทนสูง 4.8% และ 2.5% ตามลำดับ จึงมี มีโอกาสที่จะเห็นการโยกย้ายเม็ดกระเซ็นเข้าตลาดหุ้นบ้าง ดังสถิติในอดีตที่บ่งชี้ว่า หากตลาดตราสารหนี้ทำรูปแบบ BULL FLATTENING หุ้นมักขึ้นในระยะ 1 –2 เดือน ราว 0.7% -1.5%
ขณะที่กลุ่มหุ้นที่คาดได้ประโยชน์หากอัตราดอกเบี้ยลดลง คือ กลุ่มเช่าซื้อ, กลุ่ม ธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก, กลุ่มอสังหาฯ และ กลุ่มปันผลสูง โดยกลุ่มดังกล่าวมีหุ้นที่ ฝ่ายวิจัยฯชื่นชอบ คือ MTC TIDLOR SAWAD TISCO LH AP SIRI ADVANC SCC TU และ MAJOR
สรุป ตลาดตราสารหนี้ทำรูปแบบ BULL FLATTENING CURVE ทั้งในประเทศสหรัฐ และไทย หนุนให้ตลาดหุ้นมีโอกาสสดใสอีกครั้ง ดังสถิติในอดีตที่บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นมัก ปรับตัวราว 0.7% - 1.5% หลังจากนั้น 1-2 เดือน ขณะที่หุ้นที่คาดได้ประโยชน์และฝ่าย วิจัยฯชื่นชอบ คือ MTC TIDLOR SAWAD TISCO LH AP SIRI ADVANC SCC TU และ MAJOR
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities