อ้างถึงเอกสารประกอบการแถลงนโยบายของรัฐบาล ที่ถูกเผยแพร่ออกมาผ่าน สื่อต่างๆ สะทัอนให้เห็นภาพของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่ส่วนใหญ่จะ เกิดขึ้นในปี 2567 เชิงรุก และมีเป้าหมายว่าจะดึง GDP Growth ขึ้นมาที่ 5% จาก ระดับเฉลี่ย 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ราว 3.7% ทั้งนี้นโยบายที่ถูกพูดถึงและน่าจะมีผล แรงที่สุดคือ Digital Wallet คนละ 10,000 บาท ใช้เม็ดเงินราว 5.6 แสนล้านบาท ทั้งนี้หากนโยบายต่างๆ ถูกนำมาใช้และได้ผลตามคาด เรามองว่าน่าจะเห็นผล ต่อเนื่องมายังตลาดหุ้นไทย โดย EPS Growth ปี 2567 จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 12.6% น่าจะเกิด Upside, โอกาสที่จะเห็น Turnover ของตลาดน่าจะสูงขึ้น ซึ่งจะ มีผลในการกดให้ Market Earning Yield Gap แคบลง ซึ่งหมายถึงสามารถ Trade บนค่า PER ที่สูงขึ้นได้ ซึ่งสภาพแวดล้อมดังกล่าวน่าจะทำให้Upsideของ SET Index ปี 2567 เปิดกว้างขึ้น โดยอาจแตะระดับ 1800 จุดได้
เชื่อว่า SET Index อยู่ในภาวะที่มี Downside จำกัดขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ Upside จะ ค่อยๆ เปิดจากแรงขับเคลื่อนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนระยะสั้นประเมิน กรอบช่วง 1540 –1555 จุด หุ้น Top Pick เลือก ADVANC, BJC และ CPF
เศรษฐกิจโลกเปราะบาง...กระตุ้นความกลัวเงินเฟ้อช่วงสั้น
แม้ตัวเลขเงินเฟ้อทั่วโลกที่เข้าสู่ขาลงชัดเจน ส่งผลให้วัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้นในหลายเริ่ม จบลง แต่อย่างไรก็ตามภายใต้ภาวะเศรษฐกิจรวมของโลกที่เติบโตอย่างเปราะบาง ขณะที่เริ่มเห็นปัจจัยที่อาจกระตุ้นเงินเฟ้อ เช่นราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น และภาวะเอลนีโญ ทำให้ความกังวลกลับมาเป็นช่วงๆ อย่างที่เห็นภาพในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปที่ ค่อนข้างผันผวนวานนี้โดยปิดตัวในแดนลบราว -0.2% ถึง -1.1% หลังมีความกังวล กลับมาอีกครั้งว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น จากปัจจัยล่าสุดที่เข้ามากระตุ้น ดังนี้
• ราคาน้ำมันมีแนวโน้มตึงตัวจากฝั่ง Supply หลังรัสเซียและซาอุดีอาระเบีย ประกาศขยายเวลาปรับลดอุปทานน้ำมันจนถึงสิ้นปีนี้ ขณะที่วานนี้ยังเห็น ราคาน้ำมันดิบ WTI ดีดตัวขึ้นอีกเกือบ 1% ทะลุ 87 เหรียญฯ/บาเรล
• ภาคบริการสหรัฐยังดูแข็งแกร่ง สะท้อนจากดัชนีISM Service PMI ของ สหรัฐฯ เดือน ส.ค. อยู่ที่ 54.5 จุด สูงกว่าตลาดคาดที่ 52.5 จุด และเพิ่มขึ้น จากเดือนก่อนที่ 52.7 จุด อีกทั้งยังขยายตัว 8 เดือนติดต่อกัน จากแรงหนุน ของการจ้างงานดีดตัว
ขณะที่ในฝั่งของจีนยังเต็มไปด้วยความคาดหวังว่า รัฐบาลจะออกมาตรการเพิ่มเติม เพื่อฟื้นฟูภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งกำลังอ่อนแอลงในขณะนี้ ขณะที่กรณี Country Gardenรอดพ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ได้ ทำให้ความกังวลผล่อนคลายลง เป็นผลดี ต่อภาพรวมหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ที่ดีดตัวขึ้นต่อเนื่อง พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เริ่ม กลับเข้ามา
สรุป ด้วยภาวะเศรษฐกิจของต่างชาติที่เปราะบาง เป็นผลให้ความผันผวนในตลาดหุ้นมี มากขึ้น หลังเงินเฟ้อมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากปัจจัยล่าสุดที่เข้ามา ทั้งราคาน้ำมันตึงตัว รวมถึงภาคบริการสหรัฐแข็งแกร่ง ขณะที่ในฝั่งของจีนเริ่มเห็นหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ดูดีขึ้น จากความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม ซึ่งปัจจัยแวดล้อมเหล่านี้คาดเป็นบวกต่อ หุ้น PTTEP PTT (BK:PTT) PTTGC TOP SCGP
อุปสรรคการจัดหาแหล่งเงินทุนจำกัด หนุนนโยบายกระตุ้น เศรษฐกิจเดินหน้าต่อได้
รัฐบาลหาช่องทางระดมเงินใช้ทำนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท โดยอาจ สามารถ เริ่มใช้ได้ใน 1Q67 ส่วนแหล่งเงินที่จะใช้ในการดำเนินนโยบาย ประเมินว่าอาจมี ที่มาจาก 3 ส่วน
1. การจัดสรรงบประมาณ โดยความเห็นจาก TDRI หรือ สถาบันวิจัยเพื่อการ พัฒนาประเทศไทย ระบุไว้ว่า แหล่งที่มาของเม็ดเงินน่าจะมาจาก 4 แหล่ง ดังนี้
▪ รายรับจากภาษีของรัฐบาลในปี 2567 ซึ่งประมาณการว่าจะเพิ่มขึ้น 2.6 แสนล้านบาท
▪ การบริหารจัดการงบประมาณ และปรับสวัสดิการที่ซ้ำซ้อน 2 แสนล้านบาท
▪ การจัดเก็บภาษีที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอีก 1 แสนล้านบาท
2. การกู้เงิน โดยประเทศไทยมีหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ 61.15% (ข้อมูล ล่าสุดเดือน มิ.ย.66) ซึ่งตามกรอบวินัยการคลัง สามารถกู้เพิ่มได้จนกว่า หนี้ สาธารณะต่อ GDP จะอยู่ที่ระดับ 70% ซึ่งจะกู้เพิ่มได้อีกราว 1.58 ล้านล้าน บาท (บนสมมุติฐาน GDP 17.86 ล้านล้านบาท) แต่โดยหลักการแล้วไม่ควรกู้ จนเต็มเพดานหนี้
3. กระทรวงการคลังอาจจะสัดส่วนการถือหน่วยลงทุนในกองทุนวายุภักษ์ให้ กบข.-ประกันสังคม ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่าสามารถทำได้ และได้เงินระยะสั้น ปริมาณมาก รวมถึงตลาดหุ้นได้รับผลกระทบจากความผันผวนจากประเด็น ดังกล่าวจำกัด เนื่องจากกองทุนวายุภักษ์เป็นกองทุนที่มีขนาดใหญ่สุดใน ประเทศไทย ล่าสุดมีมูลค่าพอร์ตอยู่ที่ 3.47 แสนล้านบาท รองรับเงินที่ใช้ใน การกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายได้พอสมควร และเบื้องต้นฝ่ายวิจัยฯ รวบรวมข้อมูลหุ้นเฉพาะที่กองทุนวายุภักษ์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่มีดังนี้
ขณะที่กองทุนประกันสังคม มีเงินในพอร์ตลงทุนสิ้นปี 2565 ที่ 2.27 ล้านล้านบาท เป็น สัดส่วนหุ้นไทย 11.05% หรือ 2.51 แสนล้านบาท ส่วนกบข. มีเงินในพอร์ตลงทุนสิ้น มิ.ย. 2566 ที่ 4.65 ล้านล้านบาท เป็นสัดส่วนหุ้นไทย 4.28% หรือ 2.0 หมื่นล้านบาท (ในอดีตถือหุ้นไทยราว 7% ของพอร์ตรวม) แสดงให้เห็นว่ากองทุนกบข.-ประกันสังคม มีขนาดใหญ่พอ และน่าจะรองรับการขายหุ้นของกองทุนวายุภักษ์ทำให้ได้เงินมา พอสมควร
สรุปการหาแหล่งเงินทุนจากนโยบายพรรคเพื่อไทย ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่ามีความ เป็นไปได้สูง จากทางเลือกที่หลากหลายทั้ง 3 แนวทางที่กล่าว หนุนให้การดำเนิน นโยบายต่างๆ มีความราบรื่นขึ้น
นโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ มีอะไรบ้าง ดีต่อ SET และ หุ้นกลุ่ม ไหน มาดูกัน
วานนี้กรุงเทพธุรกิจ ให้รายละเอียดว่านโยบายภายใต้รัฐบาลชุดใหม่มีอะไรบ้าง เพื่อที่จะ เร่ง GDP Growth ให้เข้าใกล้เป้าหมายที่ระดับ 5% ตามที่พรรคเพื่อไทยตั้งเป้าไว้ ซึ่ง แบ่งเป็น ระยะสั้น / ระยะกลาง-ยาว โดยมีรายละเอียด ดังนี้
• นโยบายระยะสั้น อาทิ แก้ปัญหาหนี้(ภาคเกษตร ธุรกิจ ประชาชน), ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน, กระตุ้นภาคท่องเที่ยวและ แก้ไขรัฐธรรมนูญ
• นโยบายระยะกลาง-ยาว อาทิ ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค, ผู้ว่า CEO, การทูตเศรษฐกิจเชิงรุก และ จัดทำ Matching Fund
ซึ่งฝ่ายวิจัยฯ มาจำแนกว่านโยบายใดบ้างที่ส่งผลต่อกลุ่มหุ้นในตลาดหุ้นไทย อาทิ
• พักหนี้-แก้หนี้ ประชาชน เกษตรกร ผู้ประกอบการรายย่อย บวกต่อ FIN AGRI
• ท่องเที่ยวกุญแจดอกแรกสร้างรายได้ประเทศ บวกต่อ TOURISM TRANS
• เปิดประตูการค้า สู่ตลาดใหม่ๆ ยกระดับพาสปอร์ตไทย บวกต่อ กลุ่มส่งออก
• สร้างและขยายโอกาสให้กับประชาชน 1 ครอบครัว 1 ทักษะ Soft Power บวกต่อ ICT
• ยกระดับ “นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค” บวกต่อ HELTH
• สานต่อนโยบาย Carbon Neutrality บวกต่อ หุ้นกลุ่มพลังงานทดแทน
• GDP เพิ่มขึ้น 5% ต่อปีบวกต่อ BANK
• นโยบายหลักที่ทุกคนคาดหวัง คือ นโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท บวกต่อ COMM FOOD
ด้วยนโยบายดังกล่าวคาดทำให้เศรษฐกิจโตได้ดีกว่าที่คาดไว้(ระดับเดิม คือ 2%-3%) โดยมีโอกาสสูงที่ GDP Growth ไทยจะโตระดับ 5% ดังที่พรรคเพื่อไทยตั้งเป้าหมายไว้ ซึ่งหากเป็นจริง ถือว่าเป็น Sentiment ที่ดีต่อตลาดหุ้นมาก เนื่องจากสถิติในอดีตบ่งชี้ ว่า หาก GDP ไทยช่วงปีที่โตมากกว่า 5% หนุน RETURN SET INDEX เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 37%(ข้อมูลตั้งแต่ปี 2543 – ปัจจุบัน)
ในมุมพื้นฐาน เศรษฐกิจที่มีโอกาสฟื้นตัวแรง ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยใน 2 มุมหลัก ดังนี้
• ทำให้ EPS67F มีโอกาสฟื้นตัวแรงกว่าที่คาดไว้ ความหมายคือ ตอนนี้ EPS Growth 67F อยู่ที่ 12.6% ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะขยับขึ้นสู่ระดับ 15% • Fund flow ต่างชาติมีโอกาสไหนเข้ามากขึ้น หนุน Turnover และปริมาณการ ซื้อขายรายวันสูงขึ้น ทำให้ระดับ Market earning yield gap กดต่ำลง และหนุน ระดับ PE สูงขึ้น
ึงทำให้ Target SET ปีหน้ามีโอกาสขยับขึ้น ทั้งจากฝั่ง EPS67F และ PE67F ที่สูงขึ้น ซึ่งหาก EPS ปีหน้าขึ้น 3%(ตาม GDP Growth) Target SET มีโอกาสขยับขึ้นสู่ระดับ 1800-1850 จุด
สรุป นโยบายที่มีโอกาสผลักดันเศรษฐกิจไทยในอนาคต ทำให้มี Upside ในเชิงประมาร การทั้ง GDP Growth และ EPS67F หนุนประมาณการ TARGET SET ปี 2567 ขยับ ขึ้น กลยุทธ์การลงทุนเน้นกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายข้างต้น อาทิ กลุ่ม COMM FIN FOOD HELTH ICT AGRI เป็นต้น
ส่วนวันนี้ เลือก BJC ADVANC CPF เป็น Toppicks
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities