ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับขึ้นบนความคาดหวังว่า OPEC+ น่าจะลดกำลังการ ผลิตไปจนถึงปลายปี 2566 ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อหุ้นในกลุ่มธุรกิจน้ำมัน ทั้ง PTTEP, TOP ขณะที่ในบ้านเรา คาดว่า ครม.ชุดใหม่จะเริ่มประชุมเป็นครั้งแรก 12 ก.ย.66 ซึ่งน่าจะมีมติหลัก ๆ ในเรื่องการลดค่าน้ำมันดีเซลในประเทศ และค่าไฟฟ้า ทั้งนี้ดูเหมือนย้อนแย้งกับทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น แต่ก็ถือเป็นประโยชน์ใน การลดภาระค่าใช้จ่ายครัวเรือน และ การกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งดีต่อหุ้นในหลาย กลุ่มทั้ง ขนส่ง ค้าปลีก และ สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่คาด ว่าจะเกิดขึ้นคือ มาตรการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว ซึ่งมีหลายแนวทาง ไม่ว่าจะ เป็นมาตรการฟรีค่าธรรมเนียมวีซ่านักท่องเที่ยวจีน การเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน การลดคอขวดการให้บริการสนามบิน ดีต่อ AOTและ กลุ่มโรงแรม
ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานวันนี้มีน้ำหนักไปทางบวก ขณะที่นโยบายที่จะออกมา จากการประชุม ครม.ครั้งแรก เป็นประโยชน์ต่อหุ้นหลายกลุ่ม คาด SET Index อยู่ในกรอบ 1555 –1570 จุด หุ้น Top Pick เลือก AOT (BK:AOT), BJC และTIDLOR
ปัจจัยแวดล้อมยังต้องระวังแรงกระตุ้นเงินเฟ้อ
วันศุกร์ที่ผ่านมากระทรวงแรงงานสหรัฐเผยภาพรวมตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ส่ง สัญญาณทรงตัวในเดือน ส.ค. ดังนี้
• ค่าจ้างรายชั่วโมงเฉลี่ยมีแนวโน้มชะลอตัวลง ล่าสุดอยู่ที่ +0.2%MoM ต่ำสุด ในรอบ 18 เดือน ซึ่งอาจเป็นปัจจัยหนุนให้เงินเฟ้อลดลง
• Nonfarm Payrolls เพิ่มขึ้นไม่แรง ล่าสุดอยู่ที่ 187,000 ตำแหน่ง ซึ่งสูงกว่า คาดเพียงเล็กน้อยที่ 170,000 ตำแหน่ง นอกจากนี้ตัวเลข Nonfarm Payrolls มักจะถูก Revised Down ตลอดนับแต่ต้นปี 2566 สะท้อนจาก จำนวนการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้นในแต่ละเดือนลดลงเรื่อยๆ
• Unemployment Rate เพิ่มขึ้น ล่าสุดอยู่ที่3.8% พุ่งสูงสุดในรอบ 18 เดือน หลังมีแรงงานเข้ามาในระบบมากขึ้น สะท้อนจาก Participation Rete เดือน ส.ค. อยู่ที่ 62.8% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ 62.6%
สภาพแวดล้อมดังกล่าวทำให้ Fed มีโอกาสคงดอกเบี้ยไว้ที่5.50% ในการประชุมรอบ เดือน พ.ย. (ผลการสำรวจของ Fed Watch Tool)
อย่างไรก็ตามความเสี่ยงปัญหาเงินเฟ้อยังไม่ได้หมดไป และอาจมีแรงกระตุ้นเข้ามาอีก ครั้ง โดยเริ่มจากในฝั่งของจีนที่เริ่มเห็นสัญญาณดีขึ้นในอุตสาหกรรมภาคการผลิต หลังรัฐบาลจีนได้อัดฉีดมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจไปเมื่อช่วงปลายเดือน ก.ค. ที่ ผ่านมา สะท้อนจาก ดัชนี Caixin Manufacturing PMI เดือน ส.ค. พลิกกลับมาอยู่ใน โซนขยายตัวที่ 51 จุด ขณะที่ระยะถัดไปมีแนวโน้มที่ดีขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดรัฐบาลจีน ยังมีแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม อาทิ
• แบงค์ชาติจีน (PBOC) จะปรับ RRR ลดลงสู่ระดับ 4% (เดิมอยู่ที่ 6%) โดยมี ผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย.นี้ หวังสกัดเงินหยวนอ่อนค่า
• ธนาคารรายใหญ่ที่สุด 5 แห่งของจีนประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ลงในช่วง 0.05-0.25% ขณะที่ธนาคารต่าง ๆ เตรียมปรับลดอัตราดอกเบี้ย เงินกู้จำนอง
นอกจากนี้ราคาพลังงานอาจปรับตัวสูงขึ้น โดยล่าสุดน้ำมันดิบ BRENT ทำการ Breakout แนวต้านสำคัญที่ 88 เหรียญฯ/บาเรลล์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังได้แรง หนุนจากแนวโน้มอุปทานน้ำมันที่ตึงตัว บวกกับคาดการณ์ว่ากลุ่ม OPEC+ จะปรับ ลดกำลังการผลิตน้ำมันจนถึงสิ้นปีนี้
สรุป ภาพรวมตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่งสัญญาณผ่อนคลายมากขึ้น คาดหนุน Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ยในเดือนนี้ ขณะที่ความเสี่ยงปัญหาเงินเฟ้อยังต้องระวังจากปัจจัยที่เข้า มากระตุ้น ตั้งแต่เศรษฐกิจจีนฟื้นตัว รวมถึงราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นหาก OPEC+ มีการ ลดกำลังการผลิตไปจนถึงสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ตามยังมีกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์ อาทิ SCGP, IVL, AOT, PTTEP, PTTGC, TOP
คาดประชุม ครม. ครั้งแรก 12 ก.ย. 2566
หลังจากที่มี พระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่ตั้ง รัฐมนตรี ออกมาแล้ว พบว่ามี รายละเอียดโครงสร้าง ครม. ใกล้เคียงกับที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อต่างๆ ในช่วงก่อนหน้านี้ กล่าวคือ
• พรรคเพื่อไทย รับผิดชอบ 8 กระทรวง เน้นด้านเศรษฐกิจ
• พรรคภูมิใจไทย รับผิดชอบ 4 กระทรวง เน้นด้านการปกครอง การศึกษา
• พรรคพลังประชารัฐ รับผิดชอบ 2 กระทรวง เน้นด้านเกษตร
• พรรครวมไทยสร้างชาติ รับผิดชอบ 2 กระทรวง เน้นด้านอุตสาหกรรม
พลังงาน
• พรรคชาติไทยพัฒนา / พรรคประชาชาติ รับผิดชอบ 1 กระทรวง
สำหรับกำหนดการต่อไป นายกรัฐมนตรี จะนำ คณะรัฐมนตรีทั้งหมด เข้าเฝ้า เพื่อที่จะ ทำการ ถวายสัตย์ปฎิญาณ ในวันอังคารที่ 5 กันยายน 2566 หลังจากนั้น
• วันที่ 6 ก.ย.66 จะมีการประชุม ครม.นัดพิเศษ = นัดหมายเพื่อพูดคุยกันเรื่อง
เตรียมการที่จะแถลงนโยบายในวันที่ทางประธานรัฐสภากำหนดมา (ยังไม่ถือ
เป็นการประชุม ครม. อย่างเป็นทางการ)
• วันที่ 11 ก.ย.66 รัฐบาลชุดใหม่จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
• วันที่ 12 ก.ย.66จะมีการประชุม ครม.นัดแรก อย่างเป็นทางการ
จุดสนใจของการประชุม ครม. นัดแรก เชื่อว่าจะเห็นน่าจะเห็นการขับเคลื่อน นโยบายที่ได้ หาเสียงไว้ของของพรรคร่วมรัฐบาล เฉพาะอย่างยิ่ง พรรคเพื่อไทย แต่เบื้องต้น น่าจะ เป็นมาตาการที่ไม่ได้ใช้เงินจากงบประมาณ เนื่องจากโครงการต่างๆ ที่หาเสียงไว้ยังไม่ ถูกบรรจุไว้ในงบประมาณปี 2566 จึงจำเป็นต้องรอการเบิกจ่ายจากงบประมาณปี 2567 (ปกติซึ่งเริ่ม 1 ต.ค.66 – 30 ก.ย.67) ทั้งนี้คาดว่ายังต้องใช้เวลาในการจัดทำ งบประมาณใหม่ ซึ่งอาจเบิกจ่ายได้ในช่วง 1Q67 ดั้งนั้น มาตรการที่คาดหวังได้จาก การ ประชุม ครม. นัดแรก น่าจะเป็นเรื่อง ของแนวทางการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว การลด ราคาน้ำมันดีเซล และ ค่าไฟฟ้า เป็นต้น ส่วนการแจกเงินสวัสดิการต่างๆ ให้ประชาชนคง ต้องรอปีหน้า อาจเป็น 2Q67 หรือ กลางปี ประเด็นดังกล่าวน่าจะสร้าง Sentiment เชิง บวกต่อ SET Index ให้กลับไปทดสอบแนวต้านที่ระดับ 1570 จุดได้ไม่ยากนัก แต่หาก คาดหวังระดับ 1600 จุด ฝ่ายวิจัยฯมองว่าสามารถเกิดขึ้นได้ แต่ต้องพึ่งพา Fund flow ต่างชาติเป็นหลัก
สรุป ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินการได้ตัวนายกฯและครม.ชุดใหม่ ถือเป็น Sentiment เชิงบวก ต่อ SET Index ได้ แต่ระยะถัดไปต้องพึ่งพิง Flow ต่างชาติเป็นหลัก หาก SET Index จะ ปรับขึ้นต่อ โดยวันนี้มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ในกรอบ 1555-1570 จุด
หาหุ้นได้ Sentiment จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโค้งแรกของ รัฐบาลใหม่
ในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา รัฐบาลใหม่มีการจัดตั้งครม. เป็นที่เรียบร้อย และเริ่มเห็นการ เร่งออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีออกมา มีรายละเอียดและหุ้นที่ได้ ประโยชน์ดังนี้
- นโยบาย Free Visa นักท่องเทียวจีน เริ่ม 1 ต.ค. 66 ซึ่งมาได้จังหวะช่วง Golden Week หรือวันหยุดยาวของจีน และยังตรงกับสัปดาห์แรกของงวด 4Q66 พอดีอีกทั้งนักท่องเที่ยวจีนยังกลับมาเที่ยวไทยไม่ถึง 50% เมื่อเทียบ กับช่วงก่อนเกิด COVID-19 ถือเป็น Sentiment ที่ดีต่อหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว MINT CENTEL ERW หุ้นกลุ่มขนส่ง AAV BEM AOT
- นโยบาย การลดพลังงาน ค่าไฟ แก๊ส น้ำมันดีเซล ถือเป็น Sentiment หนุน ช่วยต้นทุนบางธุรกิจลดลงได้ อาทิ กลุ่มค้าปลีก BJC CPALL (BK:CPALL) CRC CPAXT หรือหนุนความต้องการใช้รถบรรทุกเพิ่มขึ้น ดีต่อ TIDLOR, THANI
- นโยบายพักชำระหนี้ให้เกษตรกร ถือเป็น Sentiment ที่ดีต่อหุ้นในกลุ่มเช่าซื้อ TIDLOR MTC เป็นต้น
ส่วน Top pick ในวันนี้เลือก 3 หุ้น ที่ได้ประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ BJC, TIDLOR , AOT
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities