SET Indexเกิดสัญญาณบวกโดยการเริ่ม Rebound กลับ พร้อมกับเห็นการซื้อ สุทธิจากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนสถาบัน จากการติดตาม พัฒนาการของการเมืองในบ้านเราซึ่งถือเป้นปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อการ เคลื่อนไหวของ SET Index ช่วงเวลานี้ ล่าสุดสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทน ราษฎร์ ส่งหนังสือเชิญประชุม 4 ก.ค.66 โดยมีวาระ การเลือกประธานสภาผู้แทน ราษฎร์ และ รองประธานผู้แทนราษฎร์ บรรจุอยู่ ซึ่งเรามองว่าการได้ประธานสภา ฯ ในวันดังกล่าว น่าจะทำให้ฉากทัศน์ของสถานการณ์ทางการเมืองหลังจากนั้น ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเท่ากับว่าระดับความเสี่ยงค่อยๆ ลดลง เปิดโอกาสให้ SET Index สามารถ Reboundขึ้นไปต่อได้ ภาวะดังกล่าวเป็นการตอกย้ำกว่ากลยุทธ์ ที่เรากำหนดว่าที่บริเวณ 1480 จุดลงมา เป็นจุดซิ้อลงทุน ถือว่ามาถูกทาง
เป็นไปได้ที่จะเห็นการ Rebound ต่อเนื่องของ SET Index ขับเคลื่อนด้วย พัฒนาการของสถานการณ์ทางการเมือง วันนี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวช่วง 1470 –1500 จุด หุ้น Top Pickเลือก GULF, JMTและ IVL
แม้ GDP 1Q66ของสหรัฐขยายตัวดีแต่ความเสี่ยงเศรษฐกิจ Recession ในวันข้างหน้ายังมีอยู่
ภาพรวมเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐฯ ในช่วง 3Q ที่ผ่านมา (3Q65 –1Q66) ถือว่ายังอยู่ในโซน ของการขยายตัว อีกทั้งวานนี้ทางการสหรัฐฯ ได้มีการปรับประมาณการ GDP ครั้งที่ 3 จาก +1.3%QoQ เพิ่มขึ้นเป็น +2.0%QoQ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้รับแรงหนุนจากภาค แรงงานที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นกำลังสำคัญต่อการขับเคลื่อนภาคการบริโภค โดยล่าสุด จำนวนผู้สวัสดิการยังมีการปรับตัวลดมาอยู่ที่ 239,000 ตำแหน่ง ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาด คาดไว้ที่ 266,000 ตำแหน่ง ทำให้โอกาสที่จะเกิด Technical Recession ในสหรัฐฯ ถูกเลื่อนออกไปเร็วที่สุดคือปลายปี 2566
อย่างไรก็ตามผลของ Fed ขยับขึ้นดอกเบี้ยแรงและเร็ว (10 ครั้งติดต่อกัน) จากระดับ 0.25% สู่ 5.25% ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 1 ปีเศษ ทำให้ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น จน ส่งผ่านมายัง GDP Growth ของสหรัฐฯ ในช่วง 3Q ดังกล่าว มีแนวโน้มขยายตัวลดลง ต่อเนื่อง (+3.2%YoY, +2.6%YoY, +2.0%YoY ตามลำดับ) จนหลายกิจกรรมทาง เศรษฐกิจส่งสัญญาณชะลอตัว เฉพาะอย่างยิ่งในภาคธุรกิจที่ ดัชนี PMI Composite ที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่ำกว่า 50 จุด อีกทั้ง Inverted Yield Curve ยังคงเกิดขึ้น ต่อเนื่องมานานกว่า 12 เดือน โดยล่าสุดยังกว้างถึง 102 bps. (ในอดีต Inverted Yield Curve มักเกิดขึ้นก่อน Recession จริงประมาณ9-14 เดือน)
ขณะเดียวกัน Bloomberg ยังได้มีการปรับคาดการณ์โอกาสเกิด Recession ในอีก 1 ปีข้างหน้าของสหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 60% มาอยู่ที่ 65% แล้ว
สรุป GDP Growth สหรัฐฯ ในช่วง 3Q ล่าสุด แม้จะอยู่ในโซนของการขยายตัว แต่เป็น การเติบโตในอัตราที่ลดลง และยังมาพร้อมกับสัญญาณความเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอ ตัวมากขึ้นในวันข้างหน้า ทั้ง PMI Composite ปรับตัวลดลง รวมถึงการเกิด Inverted Yield Curve นานกว่า 12 เดือน ทั้งนี้หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะชะลอ เชื่อว่าจะ เป็นตัวหน่วงของการขยายตัวเศรษฐหิจในบ้านเราด้วยเช่นกัน
ฉากทัศน์ทางการเมืองจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้น หนุน SET Index ทยอยสะสมต่อ
ประเด็นการเมือง มีสัญญาณบวกและความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลมากขึ้น หลังมี ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชกฤษฎีกา เรียกประชุมรัฐสภา พ.ศ.2566 ตั้งแต่ วันที่ 3 ก.ค.66 เป็นต้นไป ซึ่งเลขาฯสภา แจ้ง ส.ส. ประชุมนัดแรก 4 ก.ค. 2566ซึ่งวาระ แรกเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยวานนี้มี การหารือระหว่างพรรคก้าวไกล-เพื่อไทย ซึ่งถูกคาดหวังว่าน่าจะได้ข้อสรุปที่ดี ทั้งนี้ เชื่อว่าทั้ง 2 พรรคการเมืองน่าจะเตรียมช่องทางการดำเนินงานไว้ในหลายๆ ฉากทัศน์ ที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังการเปิดประชุมสภาฯ สถานการณ์ดังกล่าวน่าจะทำให้นักลงทุน ผ่อนคลายความกังวลช่วงสั้น และหนุน SET Index ปรับตัวขึ้นต่อได้ ขณะที่ SET Index ในปัจจุบัน ถือว่าอยู่ในโซนน่าทยอยสะสม เนื่องจาก อยู่ต่ำกว่า Target SET ปลายปีที่ระดับ 1542 จุด (ดอกเบี้ยนโยบาย 2.00%) ขณะที่หาก กนง.ขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง เป็น 2.25% Target SET จะอยู่ที่ระดับ 1480 จุด ซึ่ง ณ ปัจจุบันถือเป็นแนวรับ ทางพื้นฐาน
อย่างไรก็ตาม ประเด็นความไม่แน่นอนทางการเมืองเกี่ยวกับพรรคก้าวไกลยังมีอยู่ มาก ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลยังมีอีกหลายอุปสรรคที่จะต้องผ่านด่าน อาทิ
• ปมพรรคก้าวไกลชูนโยบายหาเสียง แก้/ยกเลิก ม.112 โดยศาลรัฐธรรมนูญ สอบถามไปยังอัยการสูงสุด ว่าพิจารณารับหรือไม่รับรับคำร้อง กรณีมีผู้ ร้องว่าขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 49 หรือไม่ โดยขอให้แจ้งต่อศาลรัฐธรรมนูญ ภายใน 15 วัน หรือ วันที่ 11 ก.ค. 66
• เสียงสนับสนุนจาก ส.ว. อาจไม่เพียงพอต่อการจัดตั้งรัฐบาล โดย นายเสรี สุวรรณภานนท์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน ส.ว. ได้ออกมาเผยต่อสื่อว่า เสียง ส.ว.ส่วน ใหญ่ ไม่สนับสนุน Candidate นายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล ที่ต้องได้รับ เสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา(เกิน 376 คนขึ้นไป) ซึ่งประกอบด้วย ส.ส. 500 คน และ ส.ว. 250 คน ซึ่งเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลที่มีการลมมติ ข้อตกลง MOU ร่วมกันมีเพียง 312 เสียงซึ่งขาดอีก 64 เสียงถึงจะมีคะแนน เสียงสนับสนุนเลือกนายกรัฐมนตรีได้ ดังนั้น หากเวลาดำเนินไปจนถึงวัน โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีแล้ว คะแนนเสียงสนับสนุนไม่ถึง 376 เสียงจาก 750 เสียง
• คุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญของว่าที่นายกฯ ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ อาทิ คดีการถือหุ้นสื่อ ITV ของคุณพิธา ซึ่งทาง กกต. อยู่ระหว่างการ รวบรวมข้อมูลและจะเรียกให้เข้าไปชี้แจงในเร็ววันนี้
สรุป SET Index มีโอกาสปรับตัวขึ้นในช่วงสั้น จากสถานการณ์ทางการเมืองใกล้รู้ ผลลัพธ์ และ Valuation ทางพื้นฐานของ SET Index ที่น่าสะสม อย่างไรก็ตามมี ประเด็นความเสี่ยงเกี่ยวกับพรรคก้าวไกลค่อนข้างเยอะ จึงทำให้การจัดตั้งรัฐบาลครั้ง นี้ อาจเกิดการเปลี่ยนขั้วได้ ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
หาหุ้นติดสปริง ซื้อขายบนกรอบแนวรับแนวต้านทางพื้นฐาน ของ SET ที่ 1480 จุด – 1540 จุด
SET Index บอบช้ำจากประเด็นทางการเมือง กนง.ขึ้นดอกเบี้ย และการปลอมแปลงงบ ของบริษัทจดทะเบียนบางบริษัท และการโยกย้ายเม็ดเงินสู่สินทรัพย์ปลอดภัย หลังจาก กนง. ขึ้นดอกเบี้ยมาแล้ว 3 ครั้ง จาก 1.25% to 2% ส่งผลให้หุ้นไทยปรับตัว ลงมากว่า -11.3%(ytd) พร้อมกับ Fund Flow ที่ไหลออก -1.09 แสนล้านบาท(ytd)
ในไตรมาส 3 มีโอกาสที่ กนง. จะคงดอกเบี้ยสูง หลังจากขึ้นดอกเบี้ยมาต่อเนื่อง 6 ครั้ง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา รวมถึง Bond Yield Curve ของไทยยังขยับตัวขึ้นน้อยมากกว่า ช่วงที่ผ่านๆ มา อาจเป็นสัญญาณการชะลอขึ้นดอกเบี้ยในช่วงต้นเดือน ส.ค. และ ก.ย. ได้หนุนให้ Fund Flow มีโอกาสไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงหรือตลาดหุ้นไทยมากขึ้น
ขณะที่ SET Index ปัจจุบัน มีความน่าสนใจในการสะสมทางพื้นฐานอยู่ 2 จุด คือ
1. SET Index หากต่ำกว่า 1480 จุด ถือว่าน่าเข้าสะสมเพิ่มเติมมาก เนื่องจาก หากคำนวณจุดน่าสะสม SET Index ด้วยวิธี MEYG อิง EPS66F 91.8 บาท/หุ้น (ต่ำกว่า Consensus ที่ 94.4 บาท/หุ้น) ภายใต้ดอกเบี้ยนโยบาย 2.25%(สูงกว่าปัจจุบันที่ 2%)จะได้ผลลัพธ์อยู่ที่1480 จุด แสดงว่าหาก SET Index ลงมาต่ำกว่านี้ถือเป็นโอกาสในการซื้อสะสมเพิ่มเติม
2. Market Cap ของ SET พลิกกลับมาต่ำกว่า Nominal GDP อาจเป็น สัญญาณสะสมหุ้น เนื่องจากปกติมูลค่า Nominal GDP มักจะสูงกว่า Market Cap ของ SET Index อยู่เสมอ และช่วงไหนที่ Market Cap ของ SET พลิกกลับมาต่ำกว่า Nominal GDP ระยะถัดไปหุ้นมักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเสมอ
ขณะที่ล่าสุด มูลค่า Nominal GDP อยู่ที่ 18.00 ล้านล้านบาท ซึ่งมากกว่า Market Cap ของ SET หรือมีสัดส่วนระหว่าง Market Cap ของ SET เทียบ มูลค่า Nominal GDP 0.99 เท่า จึงทำให้มีโอกาสสูงที่ Return ของ SET Index จะโอกาสเป็นบวกในระยะถัดไปได้ ขณะที่หากพิจารณาค่าเฉลี่ย สัดส่วนดังกล่าว ตั้งแต่ปี 2014-ปัจจุบัน อยู่ที่ 1.05 เท่า ซึ่งหากตีเป็นดัชนี จะ มี Upside เพิ่มเติมราว 5% หรือ 1540 จุด
ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ คาดว่า SET Index จะมีแนวรับและแนวต้านทางพื้นฐานที่SET 1480 – 1540 จุด ทำให้ ณ ดัชนีปัจจุบันที่ 1479 จุด เป็นจุดที่ต้องหาหุ้นสะสมเพิ่ม โดยวันนี้ แนะนำ “หุ้นติดสปริง” น่าสะสมเพิ่ม คาดหวังการฟื้นกลับเร็ว ที่ผ่านเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้
1. เป็นหุ้นพื้นฐานที่ถูก Short Sale > 5% ของมูลค่าซื้อขาย ตั้งแต่ช่วงเลือกตั้ง ถึงปัจจุบัน
2. ราคาหุ้นวานนี้มีการรีบาวน์กลับขึ้นมา
ได้ผลลัพธ์ดังตารางทางด้านล่าง
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities