นักลงทุนต่างชาติ ยังซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย และเปิด Long ใน Future ต่อเนื่อง สอดคล้องกับมุมมองของฝ่ายวิจัย โดยเราเชื่อว่าทิศทางของเงิน USD น่าจะเริ่ม อ่อนค่าลงหลังจากเพดานการปรับขึ้นดอกเบี้ยเหลือจำกัด ขณะที่ECBและธนาคาร กลางประเทศต่างๆ ปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น ขณะที่เงินบาทก็แข็งค่าตามการฟื้นตัว เศรษฐกิจและดุลบัญชีเดินสะพัดที่เริ่มกลับมาบวก ในอีกทางหนึ่งพบว่าสัดส่วนการ ถือครองหุ้นของต่างชาติในบ้านเรา ยังต่ำกว่าปกติมาก ทำให้ยังเห็นแรงซื้อจาก ต่างชาติไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยได้ต่อ ช่วยขับเคลื่อน SET Index สำหรับการ ประชุม Fed ซึ่งจะทราบผลในวันพรุ่งนี้คาดว่าจะเห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% และไม่น่าจะมีผลกระทบต่อทิศทางของตลาดหุ้น ส่วนประเด็นที่อยู่ในความ สนใจคือทิศทางของ จีน ว่าจะผ่อนคลายนโยบาย Zero Covid หรือไม่
หลังจาก SET Index ทะลุผ่านแนวต้าน 1613 จุดขึ้นมาได้ เชื่อว่าลำดับถัดไปจะ ขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1631 จุดต่อ และทำให้ 1613 จุด เป็นแนวรับแทน หุ้น Top Pick เลือก GULF, OR และ PLANB
การขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้ คาดตลาดหุ้นผันผวนไม่มาก หลังซึมซับความเสี่ยง มาได้ระยะหนึ่งแล้ว
วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐผันผวนในกรอบแคบราว +0.3% ถึง -0.9% หลังประกาศตัวเลขทาง เศรษฐกิจชุดสุดท้ายแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของสหรัฐมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น พร้อมกับรอ ผลการประชุม Fed ในคืนนี้ โดยมีรายละเอียดดังนี้
• ดัชนี PMI ภาคการผลิตของ ISM ในเดือน ต.ค. อยูที่ระดับ 50.2 จุด (สูงกว่าคาด ที่ 49.9 จุด) หดตัวจากเดือน ก.ย. ที่ระดับ 50.9 จุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าภาคการ ผลิตของสหรัฐแม้จะปรับตัวลดลง แต่ยังคงขยายตัวได้ (ดัชนีฯ > 50 จุด)
• ตําแหน่งงานว่างเปิดใหม่ (JOLTS Job Openings) ในเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้นแรง อยู่ที่ 10.7 ล้านตำแหน่ง (สูงกว่าคาดที่ 10 ล้านตำแหน่ง) ขณะที่ตัวเลขในเดือน ส.ค. อยู่ที่ 10.3 ล้านตำแหน่ง ซึ่งสะท้อนอุปสงค์ตลาดแรงงานในสหรัฐเพิ่มสูงขึ้น อาจเป็นปัจจัยหนุนให้เงินเฟ้อดีดตัวสูงขึ้น เนื่องจากพนักงานจะมีอำนาจต่อรอง ขอขึ้นค่าแรง
ในมุมมองของฝ่ายวิจัยประเมินว่าการคาดการณ์ว่า Fed จะเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 0.75% ในการประชุมฯครั้งที่ 7 (2 พ.ย. 65) ตลาดรับรู้มาตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ก.ย. ขณะที่ การขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 0.75% ในการประชุมฯ ครั้งที่ 8 (14 ธ.ค. 65) ตลาดเริ่มรับรู้มา ตั้งแต่ช่วงต้นเดือน ต.ค. ทำให้ความเสี่ยงดังกล่าวถูกซึมซับได้ระยะหนึ่งแล้ว คาดทำให้นัยฯ ต่อความผันผวนในตลาดหุ้นมีไม่มากนัก ส่วนการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้ง สุดท้ายของปีนี้ ยังคงเป็นประเด็นที่น่าจับตามมองว่าจะอยู่ที่ 0.5% หรือ 0.75% แต่อย่างไร ก็ตามเมื่อมองภาพยาวไปถึงปี 2566 ก็จะพบว่าเพดานการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายถูก จำกัดอยู่ที่บริเวณ 5 – 5.25% ซึ่งมีช่องว่างจากอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันไม่มาก
สรุป Fed เร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันนี้ ตลาดหุ้นรับรู้ความเสี่ยงมาได้ระยะ หนึ่งแล้ว คาดความผันผวนเกิดขึ้นไม่มากนัก ส่วนการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม ครั้งสุดท้ายของปีนี้ อาจอยู่ในกรอบ 0.5 – 0.75% แต่หากมองภาพยาวไปถึงปี 2566 ก็ จะพบว่ากรอบในการปรับขึ้นดอกเบี้ยเหลืออยู่จำกัด ทำให้การตอบสนองของตลาด การเงินต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed จะไม่รุนแรง
BTG ผู้นำด้านอาหารครบวงจรของไทย เข้าซื้อขายเป็นวันแรก
BTG เป็นผู้ประกอบการอาหารครบวงจรรายใหญ่ของไทย ตั้งแต่ธุรกิจอาหารสัตว์ เวชภัณฑ์ อาหารและโปรตีน (หมู ไก่ ไข่ ปลา เนื้อสัตว์แปรรูปและอาหารแปรรูป เป็นต้น) และอาหารสัตว์เลี้ยง โดยมีธุรกิจในไทย กัมพูชา ลาวและเมียนมา มีจุดเด่นด้านแบรนด์ ครอบคลุมสินค้าพรีเมียมและทั่วไป อาทิ แบรนด์ “S-Pure” “BETAGRO” “ITOHAM” และ “Balance” เป็นต้น
คาดกำไรสุทธิปี 2565 จะเติบโตถึง 695% yoy สู่ระดับ 8.0 พันล้านบาท จากแนวโน้มราคา หมูและไก่ปรับตัวสูงขึ้น จากปัญหาหมูขาดแคลน อย่างไรก็ตามคาดกำไรสุทธิปี 2566 จะลดลง 20% yoy มาที่ 6.4 พันล้านบาท (ยังถือว่าอยู่ในระดับสูง) จากแนวโน้มราคาหมูและ ไก่อ่อนตัวลงบ้าง จากฐานที่สูงมากในปี 2565 กำหนด Fair value ปี 2566 ของ BTG เท่ากับ 48 บาท อิง PER 15 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ย PER ที่ Fair value ของผู้ประกอบการ หมูและไก่ใน SET
ปัจจัยภายนอกกดดันลดลง FUND FLOW เดินหน้าหนุนหุ้นไทยต่อ
ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงพยุง และหนุนเดินหน้าต่อในช่วงนี้ด้วยปัจจัยต่างๆ คือ
1. การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed มีแนวโน้มชะลอลง แม้ตลาดหุ้นอาจผันผวนบ้าง เนื่องจากนักลงทุนรอผลการประชุม Fed ในคืนนี้ แต่ตลาดรับรู้และคาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% รอบนี้มาแล้วกว่า 1.5 เดือน ขณะที่การประชุมเดือน ธ.ค. เป็นแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยลดลงจาก 0.75% มาเป็น 0.5% มากขึ้น หรือ ดอกเบี้ยปลายปีอยู่ที่ 4.5% รวมถึงกรอบการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้าถูกจำกัดไว้ที่ 5%
2. หุ้นจีนรีบาวน์กลับแรงในวานนี้ (Hang Seng +5.2%) โดยเฉพาะหุ้นคาซิโน ร้านอาหารจีนขึ้นแรง อาทิ Sands China +11.5%, Haidilao +13% แสดงให้ เห็นว่า นักลงทุนให้น้ำหนักกับประเด็นโควิดในจีนน้อยลง อีกทั้งผู้ติดเชื้อโควิดใน จีนปัจจุบันเพิ่มขึ้นอยู่ระดับ 2 – 3 พันรายต่อวัน แต่ก็ห่างกับช่วงกลางปีที่ระดับ 3 หมื่นรายต่อวัน ถือเป็นหนึ่งแรงหนุนหุ้นไทยที่มีสัดส่วนรายได้จากจีนและความ คาดหวังเศรษฐกิจจีนฟื้น อย่าง SCGP CBG SCC รวมถึงหุ้นท่องเที่ยว AOT (BK:AOT) CENTEL ERW
3. Momentum Fund Flow ไหลเข้าหุ้นไทยต่อเนี่อง โดยต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย วานนี้ 6.8 พันล้านบาท ซื้อต่อเนื่อง 8 วันทำการ 2.28 หมื่นล้านบาท พร้อมกับ ซื้อสุทธิสัญญา SET50 Futures วานนี้ 3.2 หมื่นสัญญา สะสม 10 วันทำการ สูง ถึง 1.91 แสนสัญญา
จากปัจจัยทั้ง 3 ส่วนคาดช่วยพยุงและหนุนตลาดหุ้นไทยเดินหน้าต่อได้ ส่วนวันนี้ ประเมิน SET Index เคลื่อนไหวในกรอบวันนี้ 1613 – 1631 จุด Top pick เลือกหุ้น ใหญ่ราคา Laggard แนวโน้มกำไรฟื้นตัว คาดหวัง Fund Flow หนุนในระยะถัดไป GULF OR PLANB
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities