เงินบาทที่อ่อนค่าจนเข้าใกล้ 38 บาท/USD อาจเป็นแรงกดดันให้ กนง. ที่ประชุม วันนี้ ต้องพิจารณาถึงระดับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายว่าควรเป็น 0.25% หรือ 0.5% ทั้งนี้ในส่วนของตลาดหุ้นไทย ระดับของการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะมีผลต่อการ คำนวนดัชนีเป้าหมาย ปลายปี 2565 ซึ่งฝ่ายวิจัยใช้Market Earning Yield Gap ในการคำนวน สมมุติฐานหลักที่ใช้คือ กำหนดให้ กนง. ปรับขึ้นดอกเบี้ยรวมในปี 2565 ที่ 0.75% มาอยู่ที่ 1.25% ณ สิ้นปี และกำหนด Market Earning Yield Gap เท่ากับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 4.2% สมมุติฐานดังกล่าวจะให้SET Index เป้าหมายที่ 1730 จุด แต่หากปรับขึ้นมากกว่านั้นอีก 0.25%(การประชุมครั้งใดครั้ง หนึ่งขึ้น 0.5%) จะทำให้เป้าหมาย SET Index ลงมาอยู่ที่ 1652 จุด ดังนั้นการ ประชุมรอบนี้จึงมีผลต่อ Sentiment การลงทุนค่อนข้างมาก
SET Index น่าจะผันผวนในกรอบ 1600 – 1620 จุด พอร์ตจำลองได้Stop Profit หุ้น BEM รับกำไรราว 5% ให้นำเงินเข้าซื้อ ADVANC น้ำหนัก 10% คงระดับเงิน สดสำรอง 20% ของพอร์ต หุ้น Top Pick เลือก ADVANC, AOT (BK:AOT) และ HMPRO
เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว ขณะที่ฝั่งเอเชียอาจกลับมาฟื้นตัว
สำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจทยอยออกมาปรับแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศต่างๆ โดยเมื่อวันจันทร์ OECD คาดการณ์การเติบโต GDP โลกในปี 2566 ลดลงเหลือเพียง 2.2%YoY จากที่เดิมคาดไว้2.8%YoY แสดงถึงความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะ ถดถอย (Recession) ซึ่งเป็นสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกในปีหน้าเพิ่มขึ้น
วานนี้ Word Bank เปิดเผยการขยายตัวของเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกในปี 2565 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 3.2% (ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 5%) จากนั้นจะขยายตัวเร็วขึ้น สู่ 4.6% ในปี2566 (เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิมที่ 4.2%) การลดคาดการณ์ในปีนี้ลง หลักๆ เป็นแรงกดดันจากจีนที่มีการ Lockdown หรือใช้มาตรการ Zero Covid นานกว่าประเทศ อื่นๆ อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีทิศทางเติบโตเด่น (ในปีนี้และ ปีหน้า) อาทิเวียดนาม (ขยายตัว 7.2% และ 6.7%), ฟิลิปปินส์ (ขยายตัว 6.5% และ 5.8), มาเลเซีย (ขยายตัว 6.4% และ 4.2%)
ในส่วนของเศรษฐกิจไทยปีนี้ Word Bank คาดว่าจะเติบโตราว 3.1% ซึ่งมากกว่าที่เคย คาดการณ์ไว้ที่ 2.9% โดยได้รับแรงหนุนจากการบริโภค และการส่งออกของภาคเอกชน รวมถึงการฟื้นตัวจากภาคการท่องเที่ยว และในปีหน้าคาดว่าการเติบโตของประเทศไทยจะ เติบโตที่ 4.1%
เมื่อพิจารณาเศรษฐกิจในแถบเอเชียยังค่อนข้างแข็งแกร่งและอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว ทำ ให้มีโอกาสเติบโตต่อได้ ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกที่ จะหนุนให้เม็ดเงินเข้ามาลงทุนในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) มากขึ้น
สรุป เศรษฐกิจในแถบประเทศเอเชียมีโอกาสกลับมาฟื้นตัว ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่มี แนวโน้มชะลอตัว ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกที่จะหนุนให้เม็ดเงินเข้ามาลงทุนในกลุ่มประเทศ Emerging Market มากขึ้น
ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์กลับมาอีกครั้ง ทั้งฝั่งรัสเซีย และเกาหลีใต้
หลังจากที่รัสเซียมีแผนเรียกกำลังพลสำรอง 300,000 นาย เป็นกองหนุนในปฎิบัติการทาง ทหารกับยูเครน ล่าสุดเปิดให้ประชาชนใน 4 พื้นที่ซึ่งเดิมอยู่ภายใต้การปกครองของ ยูเครน (ได้แก่ โดเนตสก์, ลูฮันสก์, เคอร์ซอน และซาปอริซเซีย) ลงประชามติในการผนวกดินแดน 4 แคว้นทางตะวันตกของยูเครน ให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย โดยผลการนับคะแนน เบื้องต้น พบว่าประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนให้รวมดินแดนเข้ากับรัสเซีย โดยประธาน วุฒิสภารัสเซีย กล่าวว่า หากผลการลงประชามติใน 4 แคว้นของยูเครนออกมาเป็นที่น่าพึง พอใจ ทางวุฒิสภาก็จะพิจารณาประกาศการผนวกดินแดนดังกล่าวในวันที่ 4 ต.ค.65
อย่างไรก็ตาม ชาติตะวันตกมองว่าการลงประชามติในครั้งนี้เป็นการอ้างเหตุผลของรัสเซีย เพื่อผนวกดินแดนดังกล่าว และอ้างว่าหากยูเครนโจมตีดินแดนดังกล่าวก็จะถือเสมือนการ โจมตีรัสเซีย และจำเป็นต้องใช้อาวุธนิวเคลียร์ในการปกป้องดินแดนทันท
ขณะที่ประเด็นราคาก๊าซธรรมชาติในยุโรปพุ่งขึ้นอีกครั้ง โดยทำจุดสูงสุดราว 12% ก่อนที่ จะปรับตัวลดลงตามลำดับ โดยสาเหตุมาจาก 2 ส่วน ดังนี้
1. ท่อส่งก๊าซนอร์ด สตรีม ที่จะส่งไปที่เยอรมนี และยุโรป เกิดความเสียหายระหว่าง ทาง โดยตรวจพบการรั่วไหลทั้งหมด 2 จุด โดยจุดแรกอยู่ในเขตเศรษฐกิจสวีเดน และจุดที่สองอยู่ในเขตเศรษฐกิจเดนมาร์ก
2. บริษัท Gazprom เตือนว่ามีความเสี่ยงที่มอสโก(เมืองหลวงของรัสเซีย) จะคว่ำ บาตร Naftogaz ของยูเครน(บริษัทน้ำมันและก๊าซแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดของ ประเทศยูเครน) ดังนั้นจึงมีความเสี่ยงที่จะส่งก๊าซไปยังยุโรปผ่านทางยูเครน เพิ่มเติม
ขณะที่ฝั่งคาบสมุทรเกาหลีก็มีความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์เช่นกัน หลังเกาหลีเหนือยิง ขีปนาวุธลงทะเลเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (25 ก.ย.65) โดยฝั่งเกาหลีใต้และสหรัฐฯได้ตอบ โต้กลับ โดยได้เริ่มซ้อมรบทางทะเลร่วมกันตั้งแต่ 26-29 ก.ย.65 ใกล้คาบสมุทรเกาหลี ซึ่ง ถือเป็นการซ้อมรบร่วมทางทะเลครั้งแรกในรอบ 5 ปี
สรุป ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์กลับมาอีกครั้ง ทั้งฝั่งรัสเซีย-ยูเครน และเกาหลีใต้- เกาหลีเหนือ กดดันสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง ขณะที่หากมีสัญญาณร้ายแรงเพิ่มเติม อาจ เปิด Downside ต่อประมาณการเศรษฐกิจทั่วโลกได้ ซึ่งล่าสุดมีหลายประเทศเข้าสู่ ภาวะ Technical Recession เรียบร้อยแล้ว
วิเคราะห์ความเสี่ยงและผลลัพธ์การขึ้นดอกเบี้ยของ กนง.
ตลาดหุ้นโลกผันผวนและปรับฐานแรงในช่วงที่ผ่านมา หลังจากเผชิญกับ Fed เร่งขึ้น ดอกเบี้ย 0.75% ถึง 3 ครั้งหลังสุด อย่างไรก็ตามหากดูช่วงที่เหลือของปี ตลาดคาด Fed ชะลอการขึ้นดอกลงเหลือขึ้นอีกราว 1%-1.25% (ไม่ถึง 0.75% ในการประชุม 2 ครั้งที่ เหลือ) ดังนั้นประเด็นการเร่งขึ้นดอกเบี้ยตลาดหุ้นน่าจะตอบรับไปในระดับหนึ่งแล้วในช่วง ที่เหลือน่าจะผ่อนคลายมากขึ้น
ส่วนไทยวันนี้มีการประชุม กนง. เวลา 14.00 น. ซึ่งทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยไทยมี ความสำคัญต่อตลาดหุ้นมาก เนื่องจากปัจจุบันมี 2 ปัจจัยหลักๆ ที่กนง. ต้องพิจารณาสร้าง เสถียรภาพเพิ่มขึ้น คือ
1. ความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านมาก ด้วย ดอกเบี้ยไทยที่ล่าสุดอยู่ที่ 0.75% ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านอยู่ในกรอบ 2.5% - 4.25% ตามภาพทางด้านล่าง กดดันให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทย (ดอกเบี้ย - เงินเฟ้อ) ปัจจุบันต่ำ -7.11% และต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ในกรอบ -0.44% - 5.05% ส่งผลถึง Road Map การพิจารณาการขึ้นดอกเบี้ยของ กนง. เช่นกัน
2. ความเสี่ยงค่าเงินบาทล่าสุดอยู่ที่ 38 บาท/ดอลลาร์ สูงสุดในรอบ 16 ปี การเร่ง ขึ้นดอกเบี้ยของ Fed เป็นส่วนหนึ่งกดดันดอลลาร์แข็งค่า และค่าเงินบาทอ่อนค่า เร็ว 4.5%mtd ซึ่งการพิจารณาการขึ้นดอกเบี้ยของ กนง. เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้าง เสถียรภาพให้ค่าเงินได้
ส่วนผลลัพธ์การขึ้นดอกเบี้ยของกนง. ในวันนี้ ฝ่ายวิจัยวิเคราะห์แบ่งสถานะการณ์ตลาดหุ้น ออกเป็น 2 กรณีการขึ้นดอกเบี้ยในระดับต่างๆ ดังนี้
1. หาก กนง. ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% (ตามตลาดคาด) ฝ่ายวิจัยประเมิน SET Index มีโอกาสฟื้นตัวช่วงสั้น แต่ยังมีความเสี่ยงในมุมค่าเงินบาทอ่อนค่า เนื่องจาก ตลาดซึมซับปัจจัยลบนี้มาในระดับหนึ่ง จากการปรับฐานลงมากว่า 62 จุด หรือ - 3.7% ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ส่วนต่างดอกเบี้ยสหรัฐกับไทยยังกว้างอยู่ อาจ ส่งผลให้ค่าเงินบาทยังมีความเสี่ยงที่จะอ่อนค่าต่อเช่นกัน ฝ่ายวิจัยประเมิน SET Index มีโอกาสฟื้นตัวช่วงสั้นกรอบ 1610 – 1650 จุด
2. หาก กนง. ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% (สูงกว่าตลาดคาด) เกิดความเสี่ยงในมุม Valuation ตลาดหุ้น ฝ่ายวิจัยประเมิน SET Index มีโอกาสผันผวนมากขึ้น เนื่องจากตามกลไกดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าคาดทุกๆ 0.25% จะกดดันให้ MEYG ระหว่างหุ้นกับตลาดตราสารหนี้แคบลง หรือกดดันเป้าหมายดัชนีให้ลดลงได้ถึง 78 จุดช่วงสั้นฝ่ายวิจัยประเมินกรอบแนวรับทยอยสะสม 1600 จุด และ 1580 จุด
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนวันนี้แนะนำ หุ้น Defensive มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว AOT ADVANC HMPRO ป็น Top pick ในวันนี้
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities