รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

การขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่ของ ECB และถ้อยแถลงของพาวเวลล์ ทำให้ตลาดต้องปั่นป่วนอีกรอบ

เผยแพร่ 09/09/2565 20:13
อัพเดท 09/07/2566 17:32

เราไปสรุปเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในเมื่อคืนนี้กันครับ

ในเวลา 19:15 ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ตามคาด

ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมเมื่อคืนนี้ ตามการคาดการณ์ของตลาด

โดยนักลงทุนได้เตรียมความพร้อมสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากเป็นประวัติการณ์ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในครั้งนี้

นักลงทุนต่างจับตาการประชุม ECB ในครั้งนี้ ซึ่งได้มีการคาดการณ์กันอย่างกว้างขวางว่า ECB จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย 0.75% เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่สูงเป็นประวัติการณ์ในยูโรโซน

โดยบลูมเบิร์ก อิโคโนมิกส์คาดการณ์ว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% เพื่อเร่งสกัดเงินเฟ้อ แม้ว่ายุโรปกำลังต่อสู้กับวิกฤตพลังงานก็ตาม

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในการประชุมครั้งนี้ เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่พุ่งสูงจนเกินควบคุม โดยคาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้จะเป็นการดำเนินการครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายการเงินของ ECB กำลังพยายามควบคุมตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 50 ปีของสหภาพยุโรป (EU) เพราะปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อเงินออมของภาคครัวเรือนและบั่นทอนผลผลิตธุรกิจ

ขณะนี้ ECB มีอยู่สองตัวเลือกระหว่างการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% และ 0.75% โดยตัวเลขหลังจะเป็นระดับสูงสุดที่ ECB เคยปรับดอกเบี้ยมา แต่ไม่ว่าจะเลือกทางใดก็แสดงให้เห็นถึงทิศทางการดำเนินนโยบายของ ECB ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ขณะนี้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% หลังเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายสายอนุรักษ์นิยมหลายรายออกมาแสดงความคิดเห็นในเชิงรุก เช่นเดียวกับนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในผลสำรวจที่จัดทำโดยสำนักข่าวรอยเตอร์ที่คาดการณ์ถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75%

"เราคิดว่าเป็นอะไรที่สูสีมาก แต่ท้ายที่สุดแล้วตัวเลขที่สูงกว่ามีแนวโน้มจะเป็นฝ่ายชนะ เพราะการประชุมเดือนก.ย.ถือเป็นโอกาสดีที่สุดในการส่งสัญญาณการตัดสินใจที่ชัดเจนออกไป" นายเจนส์ ไอเซนชมิดต์ นักเศรษฐศาสตร์ของมอร์แกน สแตนลีย์กล่าว

"ไม่ว่าจะ 0.50% หรือ 0.75% ...เราคิดว่าวงจรการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ ECB จะสิ้นสุดที่ 2% ในเดือนมี.ค.ปีหน้า"

ทั้งนี้ ECB มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสู่ระดับ 0.75% และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์สู่ระดับ 1.25% รวมทั้งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สู่ระดับ 1.50% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 14 ก.ย.

นอกจากนี้ ECB ยังส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป โดยระบุว่า "อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่สูงเกินไป และมีแนวโน้มอยู่สูงกว่าเป้าหมายของ ECB เป็นระยะเวลาหนึ่ง"

ECB ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี และเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2543 เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ

สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของยูโรโซนพุ่งขึ้นสู่ระดับ 9.1% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ที่ยูโรสแตทเริ่มรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในปี 2540 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 9.0% จากระดับ 8.9% ในเดือนก.ค.

และจากผลการประชุมนโยบายทางการเงินและการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ของทางธนาคารกลางยุโรปในเมื่อคืนนี้ ได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นยุโรป สกุลเงินยูโร และราคาทองคำมีความผันผวนเป็นอย่างมาก

ในเวลา 19:30 ได้มีการประกาศตัวเลขคนว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐออกมา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวเลขที่เฟดได้ให้ความสำคัญเช่นกัน โดยเฟดจะใช้ข้อมูลตัวเลขในตลาดแรงงานและข้อมูลตัวเลขที่มีความเกี่ยวข้องกับอัตราเงินเฟ้อในการประกอบการตัดสินใจนโยบายทางการเงินและการตัดสินใจเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมที่กำลังจะมาถึงในเดือนนี้

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 6,000 ราย สู่ระดับ 222,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 240,000 ราย

อย่างไรก็ดี ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานดังกล่าวอยู่สูงกว่าระดับ 215,000 ราย ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐ

ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง เพิ่มขึ้น 36,000 ราย สู่ระดับ 1.47 ล้านราย

ในเวลา 19:45 นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป ได้ออกมาแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชน ซึ่งได้ทำให้ตลาดมีความผันผวนอย่างมากเช่นเดียวกัน

ในเวลา 20:15 นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาแถลงในการประชุมประจำปีของสถาบันคาโต (Cato Institute) ซึ่งเป็นรอบสุดท้ายก่อนการประชุมคณะกรรมการ กำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% อีกครั้งในเดือนนี้ ซึ่งได้ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ราคาทองคำ ราคาน้ำมัน รวมไปถึง BTC มีความผันผวนเป็นอย่างมากอีกครั้ง

นักลงทุนยังคงจับตาการแสดงความเห็นของบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยในเมื่อคืนนี้ นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมประจำปีของสถาบันคาโต (Cato Institute)

นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า เฟดมีความมุ่งมั่น "อย่างแรงกล้า" ในการควบคุมเงินเฟ้อ และเฟดหวังว่าการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวจะไม่ทำให้เกิดต้นทุนทางสังคมที่สูงเกินไป

นอกจากนี้ นายพาวเวลระบุว่า การยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือการปรับลดอัตราดอกเบี้ย จะยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้

"ประวัติศาสตร์เตือนให้เราระวังการผ่อนคลายนโยบายการเงินเร็วเกินไป ผมขอยืนยันว่าผมและกรรมการเฟดมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าต่อการควบคุมเงินเฟ้อ โดยเราจะดำเนินการต่อไปจนกว่าภารกิจจะสำเร็จ และเราคิดว่าเราจะสามารถหลีกเลี่ยงต้นทุนทางสังคมในระดับสูงที่คุณพอล โวลเกอร์ อดีตประธานเฟด เคยทำไว้" นายพาวเวลล์กล่าวที่สถาบันคาโตเมื่อคืนนี้

ในเวลา 22:00 ได้มีการประกาศรายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของเอสแอนด์พี โกลบอลคาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐจะลดลง 1.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 2 ก.ย. ซึ่งได้ส่งผลให้ราคาน้ำมันมีความผันผวนเป็นอย่างมากเช่นกัน

สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 8.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 250,000 บาร์เรล

EIA ยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ ลดลง 500,000 บาร์เรล

ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 333,000 บาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล

นอกจากนี้ สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 95,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 530,000 บาร์เรล

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (8 ก.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มเฮลธ์แคร์ หลังจากตลาดอ่อนแรงลงในช่วงแรก อันเนื่องมาจากการส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุกของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 31,774.52 จุด เพิ่มขึ้น 193.24 จุด หรือ +0.61%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,006.18 จุด เพิ่มขึ้น 26.31 จุด หรือ +0.66% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,862.13 จุด เพิ่มขึ้น 70.23 จุด หรือ +0.60%

ในช่วงแรกนั้น ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 100 จุด หลังจากพาวเวลล์กล่าวสุนทรพจน์ที่สถาบันคาโต (Cato Institute) เมื่อช่วงค่ำวานนี้ว่า เฟดมีความมุ่งมั่น "อย่างแรงกล้า" ในการควบคุมเงินเฟ้อ และเฟดหวังว่าการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวจะไม่ทำให้เกิดต้นทุนทางสังคมที่สูงเกินไป ขณะเดียวกันนายพาวเวลล์ส่งสัญญาณว่า การยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือการปรับลดอัตราดอกเบี้ย จะยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้

นอกจากนี้ จำนวนคนว่างงานที่ต่ำกว่าคาดของสหรัฐยังทำให้ตลาดกังวลว่าเฟดจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 6,000 ราย สู่ระดับ 222,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 240,000 ราย

หลังจากตลาดอ่อนแรงลงเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของเฟดในช่วงแรก นักลงทุนได้เข้ามาซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มเฮลธ์แคร์ในเวลาต่อมา เนื่องจากมองว่าหุ้นทั้งสองกลุ่มมีความปลอดภัยและยังคงมีราคาที่ค่อนข้างถูก

ทั้งนี้ หุ้นเจพีมอร์แกน พุ่งขึ้น 2.33% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ดีดขึ้น 1.82% หุ้นซิตี้กรุ๊ป พุ่งขึ้น 2.61% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ทะยานขึ้น 3.19% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 1.46%

ส่วนหุ้นในกลุ่มเฮลธ์แคร์นั้น หุ้นรีเจเนอรอน ฟาร์มาซูติคอล ทะยานขึ้น 18.85% หุ้นอิไล ลิลลี่ เพิ่มขึ้น 1.25% หุ้นแอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส พุ่งขึ้น 2.19% หุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ บวก 1.19% หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เพิ่มขึ้น 0.80%

หุ้นเกมสต็อป ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายวิดีโอเกมชื่อดังในสหรัฐ พุ่งขึ้น 7.45% หลังบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุนในไตรมาส 2 น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนส.ค.ของสหรัฐในวันอังคารที่ 13 ก.ย. เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนนี้

นักลงทุนเพิ่มการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในเดือนนี้ หลังการเปิดเผยข้อมูลบ่งชี้ภาคบริการที่แข็งแกร่งของสหรัฐ

ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักมากถึง 88% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. และให้น้ำหนักเพียง 12% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50%

สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 56.9 ในเดือนส.ค. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 55.5 จากระดับ 56.7 ในเดือนก.ค.

ดัชนีภาคบริการของสหรัฐได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน

ดัชนียังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคบริการ

ทั้งนี้ ดัชนีภาคบริการของ ISM ประกอบด้วยอุตสาหกรรม 17 กลุ่ม ซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ การขนส่ง การก่อสร้าง และเหมืองแร่

ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันพฤหัสบดี (8 ก.ย.) นำโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อซึ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 50 ปีและใกล้แตะระดับ 10%

ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 414.09 จุด เพิ่มขึ้น 2.08 จุด หรือ +0.50%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,125.90 จุด เพิ่มขึ้น 19.98 จุด หรือ +0.33%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,904.32 จุด ลดลง 11.65 จุด หรือ -0.09% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,262.06 จุด เพิ่มขึ้น 24.23 จุด หรือ +0.33%

ECB ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ตามคาด และสัญญาที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อลดเงินเฟ้อลงสู่เป้าหมายระยะกลางของ ECB ที่ระดับ 2%

ECB มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสู่ระดับ 0.75% และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์สู่ระดับ 1.25% รวมทั้งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สู่ระดับ 1.50% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 14 ก.ย.

หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น 2.3% ขณะที่หุ้นกลุ่มทรัพยากร เพิ่มขึ้น 1.5%

อย่างไรก็ตาม ดัชนี STOXX 600 ลดลงมากกว่า 0.4% แล้วในสัปดาห์นี้ และมีแนวโน้มติดลบเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับราคาพลังงานและค่าครองชีพที่พุ่งขึ้น หลังรัสเซียยุติการส่งก๊าซให้กับยุโรปผ่านท่อส่งก๊าซนอร์ดสตรีม 1

หุ้นกลุ่มค้าปลีกปรับตัวลง 1.6% โดยหุ้นเอชแอนด์เอ็ม และหุ้นอินดิเท็กซ์ ร่วงลง หลังจากบริษัทอเมริกัน อีเกิล เอาต์ฟิตเทอร์ส อิงค์ของสหรัฐ เปิดเผยผลกำไรไตรมาส 2 ต่ำกว่าคาด

หุ้นแอสโซซิเอเต็ด บริติช ฟู้ดส์ ร่วง 7.6% หลังเตือนเกี่ยวกับผลกำไรที่ลดลงในปีหน้า

ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้นในวันพฤหัสบดี (8 ก.ย.) หลังนางลิซ ทรัสส์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษประกาศแผนการที่จะจัดการกับราคาพลังงานที่อยู่ในระดับสูง และจะไม่กำหนดภาษีลาภลอย (windfall tax) จากผลกำไรของธุรกิจน้ำมันและก๊าซ แต่ความวิตกเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเชิงรุกของธนาคารกลางต่าง ๆ ได้จำกัดการปรับตัวขึ้นของตลาดโดยรวม

ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,262.06 จุด เพิ่มขึ้น 24.23 จุด หรือ +0.33%

หุ้นบีพีและหุ้นเชลล์ ปรับตัวขึ้นขานรับแผนฉุกเฉินด้านพลังงาน โดยนางทรัสส์เปิดเผยมาตรการวงเงินราว 1.50 แสนล้านปอนด์ (1.73 แสนล้านดอลลาร์) เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานในระดับสูง

หุ้นกลุ่มธนาคารที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 0.9% เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นได้หนุนหุ้นกลุ่มการเงินในยุโรปและสหรัฐ ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% และยืนยันที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม หุ้นแอสโซซิเอเต็ด บริติช ฟู้ดส์ ร่วงลง 7.6% สวนทางตลาด หลังบริษัทคาดการณ์ผลกำไรลดลงในปีหน้า เนื่องจากเผชิญกับต้นทุนและเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น

ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพฤหัสบดี (8 ก.ย.) หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมเมื่อวานนี้

ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.12% แตะที่ระดับ 109.7090

ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 0.9994 ดอลลาร์ จากระดับ 0.9985 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.1500 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1502 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.6748 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.6753 ดอลลาร์สหรัฐ

ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 144.01 เยน จากระดับ 144.13 เยน และอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9716 ฟรังก์ จากระดับ 0.9782 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3095 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3140 ดอลลาร์แคนาดา

ในการประชุมเมื่อวานนี้ ECB มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสู่ระดับ 0.75% และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์สู่ระดับ 1.25% รวมทั้งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สู่ระดับ 1.50% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 14 ก.ย.

นอกจากนี้ ECB ยังส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป โดยระบุว่า "อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่สูงเกินไป และมีแนวโน้มอยู่สูงกว่าเป้าหมายของ ECB เป็นระยะเวลาหนึ่ง"

ทั้งนี้ ECB ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปีเพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ

สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของยูโรโซนพุ่งขึ้นสู่ระดับ 9.1% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ที่ยูโรสแตทเริ่มรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในปี 2540 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 9.0% จากระดับ 8.9% ในเดือนก.ค.

ทางด้านนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสุนทรพจน์ที่สถาบันคาโต (Cato Institute) เมื่อช่วงค่ำวานนี้ว่า เฟดมีความมุ่งมั่น "อย่างแรงกล้า" ในการควบคุมเงินเฟ้อ และเฟดหวังว่าการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวจะไม่ทำให้เกิดต้นทุนทางสังคมที่สูงเกินไป ขณะเดียวกันนายพาวเวลล์ส่งสัญญาณว่า การยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือการปรับลดอัตราดอกเบี้ย จะยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 6,000 ราย สู่ระดับ 222,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 240,000 ราย

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนส.ค.ของสหรัฐในวันอังคารที่ 13 ก.ย. เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย.นี้

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (8 ก.ย.) หลังจากนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันว่า เฟดจะเดินหน้าควบคุมเงินเฟ้ออย่างจริงจัง และส่งสัญญาณว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้

ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 7.6 ดอลลาร์ หรือ 0.44% ปิดที่ 1,720.2 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 18.2 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 18.442 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 19.2 ดอลลาร์ หรือ 2.27% ปิดที่ 866.4 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. พุ่งขึ้น 124.20 ดอลลาร์ หรือ 6.1% ปิดที่ 2,147 ดอลลาร์/ออนซ์

นายพาวเวลล์กล่าวสุนทรพจน์ที่สถาบันคาโต (Cato Institute) เมื่อช่วงค่ำวานนี้ว่า เฟดมีความมุ่งมั่น "อย่างแรงกล้า" ในการควบคุมเงินเฟ้อ และเฟดหวังว่าการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวจะไม่ทำให้เกิดต้นทุนทางสังคมที่สูงเกินไป ขณะเดียวกันนายพาวเวลล์ส่งสัญญาณว่า การยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือการปรับลดอัตราดอกเบี้ย จะยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้

"ประวัติศาสตร์เตือนให้เราระวังการผ่อนคลายนโยบายการเงินเร็วเกินไป ผมขอยืนยันว่าผมและกรรมการเฟดมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าต่อการควบคุมเงินเฟ้อ โดยเราจะดำเนินการต่อไปจนกว่าภารกิจจะสำเร็จ และเราคิดว่าเราจะสามารถหลีกเลี่ยงต้นทุนทางสังคมในระดับสูงที่คุณพอล โวลเกอร์ อดีตประธานเฟด เคยทำไว้" นายพาวเวลล์กล่าว

ข้อมูลจาก FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า ขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนักมากถึง 88% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. และให้น้ำหนักเพียง 12% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50%

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (8 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากราคาน้ำมันร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่รัสเซียขู่ว่าจะระงับการส่งออกน้ำมันและก๊าซให้กับชาติตะวันตก

ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.6 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 83.54 ดอลลาร์/บาร์เรล

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 1.15 ดอลลาร์ หรือ 1.3% ปิดที่ 89.15 ดอลลาร์/บาร์เรล

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย กล่าวว่า รัสเซียจะระงับการจัดส่งพลังงานโดยสิ้นเชิงให้แก่ชาติตะวันตก หากมีการใช้มาตรการกำหนดเพดานราคาน้ำมันของรัสเซีย

"เราจะยกเลิกสัญญาที่ทำไว้กับชาติตะวันตก และเราจะยุติการจัดส่งพลังงานโดยสิ้นเชิง หากมีการใช้มาตรการที่ขัดต่อผลประโยชน์ของเรา โดยเราจะไม่ส่งก๊าซ น้ำมัน ถ่านหิน หรือพลังงานใดๆ" ปธน.ปูตินกล่าวในการประชุมเศรษฐกิจตะวันออก (Eastern Economic Forum) ที่เมืองวลาดิวอสต็อก ประเทศรัสเซีย

เมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา รัฐมนตรีคลังของประเทศกลุ่ม G7 เห็นพ้องที่จะใช้มาตรการกำหนดเพดานราคาน้ำมันของรัสเซีย โดยมีเป้าหมายที่จะบั่นทอนฐานะทางการคลังของรัสเซีย เพื่อไม่ให้รัสเซียนำรายได้ไปสนับสนุนการทำสงครามกับยูเครน โดยมาตรการกำหนดเพดานราคาน้ำมันดิบรัสเซียจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 ธ.ค. 2565 และจะบังคับใช้ต่อผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในวันที่ 5 ก.พ. 2566

ทั้งนี้ แรงซื้อเก็งกำไรและข่าวรัสเซียขู่ระงับการส่งน้ำมันให้ชาติตะวันตก เป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันปิดในแดนบวก และช่วยบดบังปัจจัยลบจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้น 8.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 250,000 บาร์เรล

นี่คือโฆษณาของบุคคลที่สาม ไม่ใช่ข้อเสนอหรือคำแนะนำจาก Investing.com ดูการเปิดเผยข้อมูลที่นี่หรือ หรือลบโฆษณา

ความคิดเห็นล่าสุด

ขอบคุณครับ
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย