ราคาน้ำมันของสหรัฐอเมริกาตลอดสัปดาห์มานี้จะเห็นว่ามีการปรับตัวลดลง แต่ถึงกระนั้น ราคาน้ำมันก็ยังอยู่สูงจากที่ควรจะเป็นอยู่ดี จนตอนนี้มันเริ่มทำให้ไบเดนและทีมงานเริ่มที่จะหมดหวัง
แม้ว่าก่อนหน้านี้ โจ ไบเดนจะพยายามแก้ไขปัญหาพลังงานเพื่อดึงราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติลงมาแล้ว ถึงขนาดยอมดึงน้ำมันจากคลังน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ (SPR) ออกมาใช้ 260 ล้านบาร์เรล แต่สถานการณ์ที่ดีขึ้นเล็กน้อย ยังไม่เพียงพอที่จะเรียกความเชื่อมั่นของประชาชน ให้ยังเชื่อกับเดโมแครตต่อไปในการเลือกตั้งช่วงกลางเทอม ซึ่งจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้
แต่ในเมื่อได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลแล้ว คำว่ายอมแพ้ย่อมไม่มีในพจนานุกรม การตัดสินใจลงมือพยายามทำอะไรบางอย่างยังดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย ในบทความนี้ เราจะพยายามดูมาตรการบรรเทาทุกข์จากเงินเฟ้อ ที่ทำเนียบขาวกำลังพิจารณา และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้่นกับตลาดลงทุน ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนควรทราบ
1. ประชุมกับบรรดา CEO บริษัทผู้ผลิตพลังงาน
สัปดาห์นี้ CEO ของเจ็ดบริษัทผู้ผลิตน้ำมันมีนัดเข้าพบประธานาธิบดีโจ ไบเดนที่ทำเนียบขาว ซึ่ง CEO ทั้ง 7 นั้นล้วนมาจากบริษัทพลังงานที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็น BP (NYSE:BP), Chevron (NYSE:CVX) และ Phillips 66 (NYSE:PSX) เป็นไปได้ว่าการประชุมครั้งนี้จะส่งผลให้เกิดมาตรการที่เป็นรูปธรรม ซึ่งฝ่ายบริหารของไบเดนสามารถใช้เพื่อบรรเทาปัญหาคอขวดด้านกฎระเบียบ ที่ขัดขวางไม่ให้โครงการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซใหม่ดำเนินการต่อไปได้
ในทางกลับกัน ผู้บริหารน้ำมันจะต้องสามารถให้คำมั่นที่จะเพิ่มกำลังการผลิต นอกจากนี้ ยังเป็นไปได้ที่ไบเดนและพรรคพวกจะใช้โอกาสนี้ตำหนิอุตสาหกรรมน้ำมันและขอให้ซีอีโอแบ่งผลกำไรจากจำนวน 35 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2022 มาให้กับรัฐบาล
หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น จะเป็นสัญญาณขาลงสำหรับน้ำมัน เพราะอาจหมายถึงการผลิตที่มากขึ้นจากฝั่งสหรัฐฯ หากเกิดอย่างหลังขึ้น จะถือเป็นสัญญาณขาขึ้นของน้ำมัน เพราะอุตสาหกรรมน้ำมันจะมองว่าฝ่ายไบเดนเป็นศัตรูและจะยังคงการผลิตแบบระมัดระวัง ไม่ขยายกำลังการผลิตเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับฝั่งตน
2. ปรับโครงสร้างการชำระภาษีน้ำมัน
รัฐบาลไบเดนกำลังขอให้รัฐสภาระงับภาษีน้ำมันของรัฐบาลกลางเป็นเวลาสามเดือน และเรียกร้องให้รัฐบาลของแต่ละรัฐระงับภาษีน้ำมันเบนซินภายในรัฐของตนเอง ภาษีน้ำมันเบนซินของรัฐบาลกลางในปัจจุบันอยู่ที่ 18 เซนต์ต่อแกลลอน แต่ภาษีน้ำมันเบนซินเฉลี่ยของรัฐอยู่ที่ 54 เซนต์ การดำเนินการเหล่านี้ร่วมกันอาจทำให้ราคาน้ำมันเบนซินลดลงเกือบ 1 เหรียญต่อแกลลอนสำหรับผู้บริโภคจำนวนมาก
แม้ว่าสิ่งนี้จะทำให้ราคาน้ำมันหน้าปั๊มลดลงชั่วคราว แต่ก็จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อราคาน้ำมันที่แท้จริง ดังนั้นนักวิเคราะห์บางคนจึงมองว่านโยบายนี้อาจทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นได้ ราคาน้ำมันเบนซินที่สูงขึ้นจะทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันลดลง ซึ่งทำให้ตลาดน้ำมันที่ตึงตัวผ่อนคลาย แม้ว่าราคาน้ำมันจะต่ำลง แต่ซัพพลายน้ำมันก็ไม่เพิ่มขึ้นควบคู่กันไป ดังนั้นเราจึงเห็นความต้องการน้ำมันเบนซินที่เพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องมีอุปทานเป็นแรงผลักดัน
หากเป็นเช่นนี้จริง จะเป็นการผลักดันทั้งน้ำมันเบนซินและราคาน้ำมันดิบให้ปรับตัวขึ้น ไม่ได้ช่วยบรรเทาทุกข์ให้กับผู้บริโภคเลย
3. การปรับภาษีกับบริษัทผู้ผลิตน้ำมัน
นี่เป็นข้อเสนอที่กำลังเริ่มเข้าสู่รัฐสภาและจะต้องผ่านทั้งสภาล่างและวุฒิสภาก่อนที่จะลงนามในกฎหมายโดยประธานาธิบดี มีแนวโน้มว่าประธานาธิบดีจะชอบกฎหมายนี้ เพราะเขาเคยวิพากษ์วิจารณ์บริษัทน้ำมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าทำกำไรได้มากเกินไป อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้จะไม่สามารถช่วยไบเดนให้บรรลุเป้าหมายในการลดราคาสำหรับผู้บริโภคได้มากนัก
หากผิดพลาดไปจากนี้ ก็อาจหมายถึงราคาน้ำมันที่จะยังคงปรับตัวสูงขึ้นไปอีกนาน เนื่องจากบริษัทน้ำมันที่ดำเนินการหรือทำธุรกิจในสหรัฐฯ จะมีเงินสดน้อยลงในการสำรวจและผลิต และกฎหมายนี้จะเป็นการขัดขวางบริษัทต่างๆ จากการหาแหล่งน้ำมันของสหรัฐฯ เพิ่ม
4.กลับมาทำนโยบายห้ามการส่งออกน้ำมันดิบออกจากสหรัฐฯ
ตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกา พวกเขาห้ามไม่ให้มีการส่งออกน้ำมันดิบมาเป็นเวลา 40 ปีจนถึงปี 2015 เมื่อประธานาธิบดีโอบามายกเลิกการห้ามนี้ สิ่งนี้ช่วยให้ผู้ผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ ส่งออกน้ำมันดิบชนิดเบาและหวาน ซึ่งผู้กลั่นในสหรัฐฯ ไม่สามารถดำเนินการและนำเข้าน้ำมันดิบที่มีรสเปรี้ยวที่มีน้ำหนักกว่าได้ ดังนั้นผู้กลั่นจำเป็นต้องดำเนินการกลั่นกรองอย่างเหมาะสมที่สุด
ในเดือนพฤศจิกายน 2021 สหรัฐฯ ส่งออกน้ำมันดิบ 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน หากการส่งออกของสหรัฐฯ ถูกห้าม ก็อาจไม่ช่วยทำให้ราคาน้ำมันหรือน้ำมันเบนซินในสหรัฐฯ ลดลง เนื่องจากการนำน้ำมันดิบของอเมริกาออกจากตลาดโลกจะทำให้ราคาน้ำมันโลกสูงขึ้น
5. ห้ามการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับปิโตรเลียม
ทำเนียบขาวได้บอกเป็นนัยว่ากำลังพิจารณาที่จะให้คำสั่งห้ามการส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมบางส่วนหรือทั้งหมดมีผลบังคับใช้ นี้อาจจะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ แม้ว่าสหรัฐฯ จะสั่งห้ามการส่งออกน้ำมันดิบ แต่ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมก็ยังส่งออกได้
หลังจากการประชุมกับซีอีโอของบริษัทน้ำมันในสัปดาห์นี้ เชื่อว่าฝ่ายบริหารของไบเดนมีแผนที่จะพบกับซีอีโอเจ้าของโรงกลั่นน้ำมันรายใหญ่ของสหรัฐ ในการประชุมครั้งนี้ เจ้าของโรงกลั่นจะต้องห้ามไม่ให้ไบเดนดำเนินนโยบายนี้ต่อไปได้
พวกเขาอาจจะโต้แย้งว่าถึงแม้มันจะท่วมตลาดสหรัฐฯ ชั่วคราวด้วยน้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน และน้ำมันเครื่องบิน แต่ก็อาจจบลงด้วยการขาดแคลนน้ำมันในระยะกลางและระยะยาว เนื่องจากโรงกลั่นลดการดำเนินกิจการเพื่อปรับให้เข้ากับความต้องการของชาวอเมริกันเท่านั้น
การห้ามครั้งนี้จะทำให้เกิดการหยุดชะงักครั้งใหญ่ในตลาดผลิตภัณฑ์กลั่นทั่วโลกซึ่งสหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญ ในการส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมกลั่นประมาณ 6 ล้านบาร์เรลต่อวัน การหยุดชะงักของโลกจะทำให้ราคาซื้อขายผลิตภัณฑ์ปิโครเลียมแปรรูปในต่างประเทศเพิ่มขึ้น
6. ระงับกฎหมายว่าด้วยการส่งสินค้าทางน้ำ
Jones Act (JA) เป็นกฎหมายที่กำหนดให้สินค้าที่ขนส่งระหว่างท่าเรือในสหรัฐอเมริกา ที่ต้องขนส่งทางเรือที่สร้างขึ้นในสหรัฐอเมริกาและเป็นเจ้าของและดำเนินการโดยพลเมืองอเมริกันหรือผู้มีถิ่นพำนักถาวรในสหรัฐฯ กฎหมายนี้รวมถึงผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และ JA เป็นเหตุผลว่าทำไมราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมบนชายฝั่งตะวันออกจึงสูงกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรือติดธงชาติอเมริกามีไม่พอสำหรับขนส่ง
JA มักถูกระงับหลังจากพายุเฮอริเคนเพื่อส่งน้ำมันเบนซินและดีเซลไปยังพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็วในขณะที่ผู้อยู่อาศัยพยายามฟื้นฟูสถานที่ให้กลับคืนมา การระงับ JA ในขณะนี้สามารถช่วยลดราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลบนชายฝั่งตะวันออกได้ โดยการลดต้นทุนการขนส่งและขจัดปัญหาคอขวดในการขนส่ง มีแนวโน้มว่าการระงับ JA จะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันทั่วโลก แต่สามารถช่วยลดต้นทุนสำหรับผู้บริโภคได้
7. ลูกเล่นทางการเมือง และกลไกเบื้องหลังเวที
เราไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าทำเนียบขาวอาจพยายามกดดันอะไรหรืออาจเสนอประโยชน์อะไรได้บ้างเมื่อใกล้ถึงการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน ทำเนียบขาวในขณะนี้กำลังหมดหวัง พวกเขาเหลือเวลามากกว่าสี่เดือนจากวันเลือกตั้งที่จะมาถึง เราสามารถสรุปได้ว่าหากราคาน้ำมันไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ—อาจจะมากถึง 40% หรือ 50%— ฝ่ายบริหารจะยิ่งสิ้นหวังและเต็มใจที่จะถูกบังคับให้ทำข้อตกลงที่เสียเปรียบในเดือนกันยายนหรือตุลาคม