นับตั้งแต่เกิดภัยโรคระบาดขึ้น นักลงทุนในยุคนี้ต่างก็ได้เห็นการเฟื่องฟูของสินทรัพย์ที่อยู่อาศัย ตั้งแต่วันที่เติบโต ขึ้นสู่จุดสูงสุด และร่วงโรย หากนับเฉพาะปีนี้ ดัชนีวัดตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐอเมริกาอย่าง S&P Homebuilders Select Industry Index ที่มีหุ้นของบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการสร้างบ้านอย่าง Lennar Corporation (NYSE:LEN), KB Home (NYSE:KBH) และ DR Horton (NYSE:DHI) ได้ปรับตัวลดลงมาแล้วประมาณ 40% นับเป็นการปรับตัวลดลงมากที่สุดตั้งแต่ปี 2007
การหนีหายของนักลงทุนจากหุ้นกลุ่มที่อยู่อาศัยเริ่มต้นขึ้นเมื่อสัญญาซื้อขายที่อยู่อาศัยล่วงหน้ารุ่นอายุ 30 ปีปรับตัวขึ้นสูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2008 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่อาจเกิดขึ้นกับวงการที่อยู่อาศัยและเศรษฐกิจในวงกว้าง ต่อมา เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1994 เพื่อกดเงินเฟ้อ ที่สูงที่สุดในรอบสี่สิบปีลงให้ได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่หุ้นกลุ่มสร้างบ้านถูกเทขายลงมาอย่างหนัก ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าหุ้นกลุ่มนี้เริ่มสร้างโอกาสที่น่าดึงดูดให้กับนักลงทุนระยะยาว เมื่อเทียบในแง่ของอัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน ค่า P/E ล่วงหน้าของหุ้นบางตัวได้ปรับตัวลดลงมาต่ำกว่ากว่าที่ควรจะเป็น ทำให้นักลงทุนบางส่วนอยากเป็นเจ้าของหุ้นกลุ่มนี้ในระยะยาว นอกจากนี้ หากมองในแง่ที่ว่าการทำงานอยู่บ้านจะกลายเป็นเทรนด์ใหม่ ที่ควบคู่ไปกับการทำงานที่ออฟฟิศ นั่นจึงยิ่งทำให้การลงทุนกับที่อยู่อาศัยมีความน่าสนใจมากขึ้น
หนึ่งในจุดตัดสินที่นักลงทุนจะใช้ประกอบการพิจารณาคือรายงานผลประกอบการของบริษัทผู้รับเหมาที่ใหญ่เป็นอันดับสองของอเมริกาอย่างเลนน่า ที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ เลนน่ายังคงเชื่อว่าพวกเขาจะสามารถส่งมอบบ้านให้กับลูกค้าภายในปีนี้ได้ถึง 68,000 หลัง แต่นักวิเคราะห์บางกลุ่มก็ได้ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงที่เลนน่าอาจจะไม่สามารถส่งมอบบ้านให้กับลูกค้าตามที่หวังไว้ เนื่องจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย และถ้าวันนั้นมาถึง ก็จะหมายความว่ากำลังการซื้อที่อยู่อาศัยของชาวอเมริกันก็จะลดลง Stuart Miller ผู้ดำรงตำแหน่งเป็น CEO ของเลนน่าให้ความเห็นว่า
“ถึงเราจะเชื่อว่ายังมีความต้องการที่อยู่อาศัยสำหรับชาวอเมริกัน แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างราคาที่อยู่แาศัยกับอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารฯ กำลังอยู่ในจุดที่ต้องการเวลาเพื่อปรับสมดุลเข้าหากัน”
การปรับลดตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
เมื่อสภาพแวดล้อมของตลาดที่อยู่อาศัยกำลังเปลี่ยน นักวิเคราะห์บางคนจึงได้ปรับตัวเลขความน่าสนใจของหุ้นในกลุ่มสร้างบ้านลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ยกตัวอย่างเช่นนักวิเคราะห์จากธนาคารเวลล์ ฟาร์โก ได้ปรับหุ้นของ oll Brothers (NYSE:TOL) ลงจาก overweight ลงเป็นธรรมดา ในขณะที่หุ้นของ MDC Holdings (NYSE:MDC) และ Meritage Corporation (NYSE:MTH) ถูกปรับลงจากธรรมดาเป็นไม่น่าสนใจ
นักวิเคราะห์จากแบงก์ ออฟ อเมริกา (BofA) ให้ความเห็นว่าตลาดที่อยู่อาศัยอาจซบเซาลงไปจนถึงปี 2023
“ในระยะยาวเรายังคงเชื่อว่ายังมีความต้องการที่อยู่อาศัย แต่สำหรับตอนนี้ ต่อให้มีใครอยากจะได้บ้านเร็วๆ แค่ไหนก็คงจะตัดสินใจรอไปก่อน ซึ่งเราคาดว่าความต้องการนี้จะซบเซาลงไปจนถึงปี 2023”
บลูมเบิร์กอ้างบริษัทข้อมูลจาก Black Knight ว่าต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นอาจทำให้ราคาที่อยู่อาศัยสูงขึ้น แต่ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยอย่างรุนแรงและความต้องการอสังหาริมทรัพย์ที่กดเอาไว้จากทั้งผู้ซื้อและนักลงทุนนั้นมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงไปมาก และสนับสนุนกลุ่มผู้สร้างบ้านในระยะยาว
ในความเห็นของเรา การล้มลงของตลาดที่อยู่อาศัย เช่นเดียวกับที่เกิดหลังวิกฤตการเงินในปี 2008 ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากความต้องการยังคงมากกว่าซัพพลายบ้านที่มีอยู่ เจ้าของส่วนใหญ่มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินของพวกเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งมูลค่าที่อยู่อาศัย ซึ่งเพิ่มขึ้นทุกๆ ปีหมายความว่าเจ้าของที่สามารถขายที่อยู่อาศัยได้โดยไม่ขาดทุน
โดยสรุปแล้ว
ขาลงของหุ้นกลุ่มผู้ก่อสร้างที่อาศัยสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ว่าจะทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยหายไป แต่ครั้งนี้อาจไม่เป็นเช่นนั้น เพราะยังมีหลายปัจจัยที่สนับสนุนขาขึ้นของตลาดที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยที่มีมากขึ้น จำนวนที่อยู่อาศัยที่มีอยู่อย่างจำกัด และเทรนด์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปเป็นการทำงานจากที่บ้านมากขึ้น