การควบคุมปริมาณเงินในระบบเป็นสิ่งสำคัญสำหรับรัฐบาล อำนาจของประเทศมาจากการทหาร และการควบคุมระบบการเงิน ในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง เงิน ปอนด์อังกฤษที่เคยเป็นสกุลเงินสำรองของโลก ก็ต้องถูกแทนที่ด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐในปี 1945 หลังจากการล่มสลายทางอำนาจของจักรวรรดิอังกฤษ
กว่าสามในสี่ของศตวรรษที่เงินดอลลาร์สหรัฐรับหน้าที่เป็นตัวกลางหรือเครื่องมือสำหรับการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน และเงินสำรองสำหรับประเทศทั่วโลก เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองของสหรัฐอเมริกากลายเป็นสิ่งที่ทั่วโลกต้องให้ความสำคัญ แม้จะไม่ได้อยากรู้เรื่องอะไรในอเมริกาเลยก็ตาม
เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินเฟียตมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1970 เมื่อประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน (Richard M. Nixon) ตัดสินใจยุติมาตรฐานทองคำ ตั้งแต่นั้นมา มูลค่าของเงินดอลลาร์ล้วนแล้วแต่มีมูลค่ามาจากความเชื่อมั่นและเครดิตในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
ในปี 2008 สกุลเงินดิจิทัลนามว่าบิทคอยน์ได้ถือกำเนิดขึ้นตามไวท์เปเปอร์ ที่สรุปเทคโนโลยีบล็อคเชนและสกุลเงินดิจิทัลไว้ในระบบที่จับต้องไม่ได้ ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดของการปฏิวัติทางเทคโนโลยีในด้านการเงิน เมื่อวันเวลาผ่านไป และมีสกุลเงินดิจิทัลจำนวนมากถือกำเนิดขึ้น วิวัฒนาการของ fintech ก็ได้ช่วยยกระดับมูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลไปอยู่ในจุดที่ได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ กระตุ้นให้เกิดความบ้าคลั่งในการเก็งกำไร
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีหลายปัจจัยที่ทำให้ความเชื่อมั่น และเครดิตของดอลลาร์สหรัฐลดลง ในปี 2022 สงครามระหว่างรัสเซยยูเครนได้ส่งผลกระทบต่อบทบาทของเงินดอลลาร์ จนอาจจะนำไปสู่ความพยายามโค่นล้มบัลลังก์ของราชาแห่งสกุลเงินสำรองในปัจจุบัน และหนึ่งในนั้นก็มีสกุลเงินดิจิทัลรวมอยู่ด้วย
จุดจบของยุคโลกาภิวัตน์?
ใครจะไปรู้ว่าในอนาคต หนังสือประวัติศาสตร์โลกอาจระบุให้วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2022 เป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ไปเลยก็ได้ การจับมือกันระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน และผู้นำรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน นั้นเป็นข้อตกลงทางการค้าที่มีมูลค่ามากกว่า 117 พันล้านดอลลาร์ คำมั่นสัญญาที่จะให้การสนับสนุน "ช่วยเหลือแบบไม่มีข้อแม้" ก่อให้เกิดการแบ่งแยกโลกออกเป็นสองส่วน การจับมือกันครั้งนั้นได้นำไปสู่การรุกรานยูเครนของรัสเซีย และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการรุกรานไต้หวันจากจีน
ในขณะที่โลกกำลังจะแบ่งออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจนมากขึ้น สกุลเงินดิจิทัลกลับกำลังทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้วยการเคลื่อนตัวไปสู่โลกาภิวัตน์ในระบบการเงิน หลังจากการรุกรานยูเครนในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ การคว่ำบาตรรัสเซียและการสนับสนุนจากจีนได้เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ
ตามอุดมคติโลกาภิวัตน์ บิทคอยน์ อีเธอเรียมและสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ มีศักยภาพในการแลกเปลี่ยนมูลค่า ที่ก้าวข้ามอุปสรรคที่เรียกว่าพรมแดนประเทศไปได้แล้ว การแบ่งพรรคแบ่งพวกของประเทศมหาอำนาจ ยิ่งเพิ่มความต้องการสกุลเงินดิจิทัล ที่ไม่ขึ้นตรงต่ออำนาจของรัฐบาล
ในขณะที่รัฐบาลสามารถดำเนินการตามใจชอบ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจหรือเหตุผลส่วนตัว พวกเขาก็สามารถเพิ่มหรือลดปริมาณเงินด้วยการออกกฎหมาย แต่สกุลเงินดิจิทัลกลับคืนอำนาจให้กับประชาชน และปฏิเสธการแทรกแซงของรัฐบาล ผู้ที่ศรัทธาในสกุลเงินดิจิทัลอย่างแท้จริงจะรู้ดีว่าที่พวกเขาทำไป เป็นเพราะไม่ต้องการเป็นเครื่องมือของรัฐบาลอีกแล้ว รัฐบาลอยากมีปัญหากับใครก็มีไป แต่สิ่งที่ผู้คนเหล่านี้ต้องการคือการทำการค้าโดยไม่จำเป็นต้องสนใจว่ารัฐบาลของพวกเขาจะฉลาดล้ำหรือไม่มีความรู้มากแค่ไหนก็ตาม
ดอลลาร์คือสกุลเงินสำรองของโลก
ดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินสำรองของโลกมาตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 มันมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดสำหรับสกุลเงินสำรอง ด้วยการเป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดในโลก พร้อมระบบการเมืองที่เสถียรที่สุด
ประเทศต่างๆ ทั่วโลกถือดอลลาร์ไว้สำหรับการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนและเป็นเงินสำรอง การแปลงสกุลเงินสหรัฐฟรีเป็นข้อดีอีกอย่างของเงินดอลลาร์ ตามมาด้วยผู้ท้าชิงตำแหน่งราชันย์แห่งสกุลเงินสำรองอย่างประเทศจีน เงินหยวนสะท้อนให้เห็นถึงอุดมการณ์ทางการเมืองของจีน ที่ไม่สามารถแปลงเป็นสกุลเงินโลกอื่น ๆ ได้อย่างอิสระ
จีนกำลังพยายามท้าทายเงินดอลลาร์ด้วยการเปิดตัวหยวนดิจิทัล ซึ่งใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนภายใต้การควบคุมของรัฐบาลจีนอยู่เบื้องหลัง ถ้าพูดถึงการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัล ต้องยอมรับว่าจีนอาจนำหน้าสหรัฐฯ ไปไกลในการแข่งขันนี้ แต่ความสามารถในการแปลงสภาพ และระบบการเมืองของปักกิ่งยังคงเป็นประเด็นสำคัญสำหรับเงินหยวนจีนจะเป้นการค้าเสรีได้อย่างไร ในเมื่อตัวเองยังไม่ใช่ประชาธิปไตยจริงๆ ในอนาคต ใครที่ใช้เงิยหยวน ก็เท่ากับว่าต้องยอมสยบให้กำอำนาจจีน ที่ผู้นำของเขา (ซึ่งไม่ได้รู้จักอะไรด้วยเลย) สามารถชี้นิ้วสั่งอะไรก็ได้
3 สัญญาณที่บ่งบอกว่าดอลลาร์อาจไม่แข็งแกร่งเหมือนแต่ก่อน
ปัจจัยสามประการเป็นสัญญาณว่าสถานะสกุลเงินสำรองของดอลลาร์อาจกำลังตกอยู่ในอันตราย
1.) ข้อตกลงการค้าระหว่างรัสเซียและจีนเรียกได้ว่าตัดเงินดอลลาร์ออกจากสมการไปเลย รัสเซียอนุญาตให้ใช้เงินสำรองเงินยูโรและทองคำ และลดจำนวนการถือครองดอลลาร์สหรัฐ จีนได้สร้างการผลิตทองคำในประเทศ เพื่อสร้างทุนสำรอง หนุนการหันกลับไปใช้วิธีการแลกเปลี่ยนที่เก่าแก่ที่สุดในโลกด้วยการอ้างอิงกับทองคำเป็นหลัก
2.) ซาอุดีอาระเบียและไนจีเรีย ประเทศผู้ผลิตน้ำมันชั้นนำของโลก กำลังเจรจาเพื่อขายน้ำมันดิบของจีนเป็นเงินหยวน ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์เป็นกลไกกำหนดราคามาตรฐานสำหรับน้ำมันดิ บและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ การแลกเปลี่ยนด้วยเงินหยวนจึงกลายเป็นเหตุการณ์สำคัญ รัสเซียเพิ่งบอกกับประเทศต่างๆ ในยุโรปว่าจะขายพลังงาน (และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ) ด้วยสกุลเงินรูเบิลเท่านั้น ส่งผลให้ยุโรปต้องซื้อสกุลเงินรัสเซียด้วยยูโร เพื่อรองรับรูเบิล ยิ่งส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อิงกับเงินดอลลาร์มีความสำคัญน้อยลง ลดบทบาทของดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินสำรองทั่วโลก
3.) อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ ณ ตอนนี้อยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบสี่ทศวรรษ อัตราเงินเฟ้อกำลังกัดกินกำลังซื้อของเงินดอลลาร์ นอกจากนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาการแบ่งแยกทางการเมืองของสหรัฐฯ มีแนวโน้มว่าเพิ่มขึ้นอย่างมาก อับราฮัม ลินคอล์น เคยกล่าวเอาไว้ว่า "ประเทศที่แตกแยกกันเองไม่สามารถยืนหยัดได้" ภาวะเศรษฐกิจและความบาดหมางทางการเมืองจะส่งผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การเสื่อมอำนาจของดอลลาร์และการเติบโตของฟินเทคฯ มีความเกี่ยวข้องกัน
การลดลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐบนเวทีโลก เปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนมูลค่าด้วยวิธีการอื่นเข้ามาแทนที่ สกุลเงินดิจิทัลสะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการของการปฏิวัติฟินเทค การสูญเสียอำนาจของเงินดอลลาร์อาจส่งผลให้ไโลกเปิดรับเงินดิจิตอลมากขึ้น นอกจากนี้ เมื่อราคาสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มขึ้น อาจจุดประกายให้เกิดความบ้าคลั่งในการเก็งกำไรจากนักลงทุนมากขึ้น
บิทคอยน์และอีเธอเรียมยังคงเป็นผู้นำ
บิทคอยน์และอีเธอเรียมได้ใช้เวลาสองเดือนที่ผ่านมาในกาพักฐาน หลังจากสร้างจุดสูงสุดในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน และร่วงลงสู่จุดต่ำสุดในปลายเดือนมกราคม
อ้างอิง: CQG
กราฟรูปนี้แสดงให้เห็นช่วงเวลาขาลง ที่บอทคอยน์ได้สร้างจุดสูงสุดที่ต่ำลง เช่นเดียวกับจุดต่ำสุดที่ต่ำลง มาตั้งแต่วันที่ 24 มกราคมจนถึงสัปดาห์ของวันที่ 21 มีนาคม ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคม บิทคอยน์ได้ปรับตัวขึ้น จนสามารถทะลุการพักฐานแบบรูปลิ่มออกมา สร้างจุดสูงสุดที่ 48,475 ดอลลาร์และปิดสัปดาห์ที่ 46,000 ดอลลาร์
อ้างอิง: CQG
กราฟอีเธอเรียมมีความเคลื่อนไหวที่คล้ายกัน กราฟอีเธอเรียมทะลุรูปแบบลิ่มขึ้นมา และวิ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดที่ $3,506 ในสัปดาห์ที่แล้ว วันศุกร์ที่ 1 เมษายนอีเธอเรียมมีราคาซื้อขายอยู่ที่ระดับ 3,450 ดอลลาร์
เวลาจะเป็นตัวบอกเองว่าสุดท้ายแล้วโลกจะให้สกุลเงินดิจิทัลอยู่ในบทบาทใด การเสื่อมอำนาจของเงินดอลลาร์สหรัฐในฐานะสกุลเงินสำรองของโลกจะไม่เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่แนวโน้มนี้กำลังเกิดขึ้น และถูกเร่งให้เกิดไว้ขึ้นด้วยไฟสงคราม เงินเฟ้อ แม้จะไม่รู้ว่าใครจะเป็นเบอร์หนึ่งคนใหม่ของโลก แต่สกุลเงินดิจิทัลสามารถหาประโยชน์จากช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ ในการทำให้ตัวเองมีมูลค่ามากขึ้น และเป็นที่ยอมรับมากขึ้นได้ สิ่งที่ทำให้สกุลเงินเฟียตต่างจากสกุลเงินดิจิทัลคือ เฟียตเป็นการบังคับให้ใช้งานจากรัฐบาล และสกุลเงินดิจิทัลให้คนใช้งานจากใจ