- สัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังคงกดดันให้ตลาดการเงินไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง
-
ไฮไลท์สำคัญในสัปดาห์นี้จะอยู่ที่การประชุมธนาคารกลางหลัก โดยเฉพาะ ธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟด ซึ่งตลาดจะรอลุ้นทิศทางการปรับนโยบายการเงินของเฟดหลังเศรษฐกิจเผชิญความไม่แน่นอนจากสงครามมากขึ้น
-
ภาวะสงครามอาจหนุนความต้องการถือเงินดอลลาร์ แต่เงินดอลลาร์ก็พร้อมจะอ่อนค่าลงได้ หากเฟดส่งสัญญาณไม่ได้เร่งรีบขึ้นดอกเบี้ยอย่างที่ตลาดคาดหวัง อาทิ Dot Plot ใหม่ชี้ว่าเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยน้อยกว่า 7 ครั้ง ซึ่งเราคงมองว่า Upside ของเงินดอลลาร์จะเริ่มจำกัดหลังทิศทางนโยบายการเงินเฟดมีความชัดเจนมากขึ้น ส่วนเงินบาทอาจอ่อนค่าลงต่อได้บ้าง จากแรงขายสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ ท่ามกลางความกังวลผลกระทบจากสงคราม แต่เรามองว่า เงินบาทจะไม่อ่อนค่ารุนแรง เนื่องจากผู้เล่นต่างชาติได้ปิดสถานะเก็งกำไรค่าเงินไปมากแล้ว (สะท้อนผ่านแรงขายบอนด์ระยะสั้น) และหากสงครามไม่ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น เงินบาทก็อาจได้รับอานิสงส์จากทั้งการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ
-
มองกรอบเงินบาทสัปดาห์นี้
33.00-33.50 บาท/ดอลลาร์ -
ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด โดยเรามองว่า เฟดจะตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จากระดับ 0.00-0.25% สู่ระดับ 0.25-0.50% ทั้งนี้ประเด็นสำคัญที่ตลาดจะรอลุ้นคือประมาณการอัตราดอกเบี้ยนโยบายใหม่ของเฟด (Dot Plot) ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า เฟดจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ถึง 7 ครั้งในปีนี้ เพื่อควบคุมปัญหาเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ตลาดจะรอลุ้นประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งในด้านการเติบโตและอัตราเงินเฟ้อ หลังจากที่แนวโน้มเศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนมากขึ้นจากผลกระทบของภาวะสงคราม นอกเหนือจากการประชุมเฟด ตลาดจะรอจับตาทิศทางการฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกุมภาพันธ์ โดยตลาดประเมินว่า ยอดค้าปลีกยังสามารถขยายตัวได้ราว 0.4% จากเดือนก่อนหน้า แต่เป็นการชะลอลงมากขึ้นจากเดือนมกราคมที่โตถึง 3.8% จากผลกระทบของราคาสินค้าพลังงานรวมถึงราคาสินค้าอื่นๆ ที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งตลาดประเมินว่าผลกระทบจากภาวะสงครามที่เริ่มจะกดดันความเชื่อมั่นผู้บริโภคให้ปรับตัวลดลง อาจกดดันให้การใช้จ่ายของคนอเมริกันชะลอลงมากขึ้นในระยะสั้นได้ ซึ่งภาพเศรษฐกิจที่อาจได้รับผลกระทบจากสงครามมากขึ้น อาจสร้างความลำบากใจให้กับเฟดในการปรับนโยบายการเงิน
-
ฝั่งยุโรป – สถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังและติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูงและอาจส่งผลให้ตลาดการเงินยังมีแนวโน้มผันผวนสูงต่อได้ นอกจากนี้ ผลกระทบจากสงครามจะกดดันความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ (ZEW Economic Sentiment) ของเยอรมนีและของยุโรปในเดือนมีนาคม ให้ปรับตัวลดลงอย่างหนักและมีโอกาสที่ดัชนีความเชื่อมั่นจะต่ำกว่า 0 จุด (ดัชนีต่ำกว่า 0 หมายถึง มุมมองเชิงลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ) อย่างไรก็ดี แม้ว่าสงครามอาจสร้างความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจ แต่ทว่า ปัญหาเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเร่งตัวสูงขึ้นและอาจอยู่ในระดับสูงได้นานกว่าคาด จะกดดันให้ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) สามารถขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 0.75% ได้ ทั้งนี้ BOE อาจสื่อสารกับตลาดว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะมีความยืดหยุ่นมากขึ้นและแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะขึ้นกับผลกระทบจากสงครามต่อแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษโดยเฉพาะการเติบโตเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ
-
ฝั่งเอเชีย – ตลาดประเมินว่ายอดการส่งออกของญี่ปุ่น (Exports) มีแนวโน้มโตกว่า +20%y/y ในเดือนกุมภาพันธ์ตามการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังสถานการณ์การระบาดโอมิครอนไม่ได้กระทบเศรษฐกิจมากนัก ทว่าผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนอาจกดดันให้เศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจยุโรปชะลอลงและกดดันการส่งออกของญี่ปุ่นในอนาคตได้ ทั้งนี้ ผลกระทบจากสงครามที่ได้หนุนให้ราคาสินค้าพลังงานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆเร่งตัวขึ้นจะช่วยหนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของญี่ปุ่นในเดือนกุมภาพันธ์ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 1.0% ทว่าหากหักผลของราคาสินค้าพลังงานและราคาอาหารสดออก อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) จะอยู่ที่ระดับ -1.0% สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวได้ไม่ดีและจะกดดันให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังจำเป็นที่จะต้องใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อ ทั้งคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ -0.10% รวมถึงเดินหน้าคุมยีลด์เคิร์ฟและซื้อสินทรัพย์ต่อ ส่วนในฝั่งธนาคารกลางอื่นๆ ความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นจากผลกระทบของสงครามจะกดดันให้บรรดาธนาคารกลางในฝั่งเอเชียยังจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายไปก่อน โดยตลาดคาดว่า ธนาคารกลางไต้หวัน (CBC) และ ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.125% และ 3.50% ตามลำดับ
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก