การรุกรานยูเครนของรัสเซียในปลายเดือนกุมภาพันธ์ทำให้เกิดแรงกดดันระลอกใหม่ต่อตลาดพลังงานทั่วโลก ก่อให้เกิดความขัดแย้งและการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกตัดสินใจคว่ำบาตรรัสเซียอย่่างหนัก ทำให้ห่วงโซ่พลังงานหลักบางแห่งของยุโรปหยุดชะงัก สร้างแรงกดดันให้ตลาดพลังงานจากเดิมที่ถูกกระทบจากเงินเฟ้ออยู่แล้ว
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้นักลงทุนในตลาดกำลังให้ความสนใจกับตลาดพลังงานอย่างใกล้ชิด พวกเขาจับตาดูทั้งราคาน้ำมันดิบเบรนท์ WTI และราคาก๊าซธรรมชาติ ผลกระทบจากไฟสงครามได้ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ที่วัดราคาน้ำมันและก๊าซในปีนี้ปรับตัวขึ้นมาแล้วทั้งหมด 34.9%
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา มีรายงานว่าฝั่งตะวันตกเตรียมยกระดับความรุนแรงของมาตรการขึ้นไปอีก เมื่อรัฐบาลของโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมแบนการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย ในขณะที่เยอรมันสั่งปิดท่อส่งพลังงาน Nord Stream 2 ที่ส่งพลังงานมาจากรัสเซียโดยตรง ข่าวดังกล่าวทำให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งขึ้นยืนเหนือ $130 ต่อบาร์เรลชั่วขณะหนึ่ง ก่อนปรับตัวลดลงมาวิ่งอยู่ที่ $120 ต่อบาร์เรล
ข่าวร้ายที่ยังคงถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่องทำให้นักลงทุนตลาดหุ้นรอไม่ไหว ต้องตัดสินใจตลาดทางเลือกในการทำให้พวกเขามีกำไรจากสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราได้ทำบทความแนะนำกองทุน ETF ที่ได้ไปลงทุนกับพลังงานทางเลือก ที่เชื่อว่าจะเป็นหนทางใหม่ของมนุษยชาติ
1. Invesco MSCI Sustainable Future ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $57.31
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $54.61 - $78.31
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 0.75%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.55% ต่อปี
กองทุนตัวแรกที่เราจะแนะนำมีชื่อว่า Invesco MSCI Sustainable Future ETF (NYSE:ERTH) เป็นกองทุนที่ลงทุนในบริษัทบริหารทรัพยากรทั่วโลก ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กองทุนตัวนี้อ้างอิงราคาตามดัชนี MSCI Global Environment Select Index ที่เลือกถือหุ้นของบริษัทในกลุ่มบริหารเกษตรกรรมและน้ำยั่งยืน พลังงานทดแทน พลังงานสีเขียว เน้นเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน และการควบคุมมลพิษ
ERTH เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2006 ปัจจุบันถือครองหุ้นบริษัทอยู่ทั้งหมด 155 แห่ง หากพิจารณาแบ่งออกเป็นสัดส่วน จะพบว่า ERTH ถือครองหุ้นในกลุ่มอุตสากรรมมากที่สุด 29.87% อสังหาริมทรัพย์ 18.38% และสินค้าอุปโภคบริโภค 15.90% หากพิจารณาเป็นประเทศ จะพบว่ากองทุนนี้ถือครองหุ้นของบริษัทในอเมริกามากที่สุด ตามมาด้วยประเทศจีน ญี่ปุ่น เดนมาร์ก สเปน และฝรั่งเศส
หุ้น 10 อันดับแรกของกองทุนคิดเป็นเกือบ 38% มีสินทรัพย์รวมทั้งหมด $402 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Vestas Wind Systems (OTC:VWDRY) Digital Realty Trust (NYSE:DLR) Tesla (NASDAQ:TSLA) Enphase Energy (NASDAQ:ENPH) และ Nio (NYSE:NIO)
ในปีที่แล้ว ERTH ปรับตัวลดลงมาแล้ว 21% แต่หากนับเฉพาะต้นปีมาจนถึงปัจจุบัน จะพบว่าราคากองทุนตัวนี้ลดลงมาแล้ว 14% อย่างไรก็ตาม ในปีที่แล้ว ERTH เคยขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ที่ $78.31 มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 28.22x และ 2.42x ตามลำดับ
นักลงทุนที่ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดตามรูปแบบราคา ที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาจะพบความเป็นไปได้ว่ามีโอกาสที่ราคาจะเจอกับจุดต่ำสุดในเร็วๆ นี้ ผู้ที่สนใจ ERTH สามารถพิจารณา $55 เป็นจุดเข้าได้
2. SPDR S&P Kensho Clean Power ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $57.31
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $54.61 - $78.31
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 0.75%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.55% ต่อปี
กองทุนตัวถัดมามีชื่อว่า SPDR® Kensho Clean Power ETF (NYSE:CNRG) เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่เป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาด ไม่ว่าจะเป็นพลังงานลม แสงอาทิตย์ ไฟฟ้า น้ำ ความร้อนจากใต้พิภพ กองทุนตัวนี้มีหุ้นของบริษัทเหล่านี้ทั้งหมด
กองทุน CNRG เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2018 อ้างอิงราคาตามดัชนี S&P Kensho Clean Power Index ถือหุ้นของบริษัทอยู่ทั้งหมด 45 บริษัท หากพิจารณาแบ่งออกเป็นสัดส่วนจะพบว่า CNRG ลงทุนในสาธารณูปโภค 16.69% ส่วนประกอบและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 14.94% และเซมิคอนดักเตอร์ 12.32%
หุ้น 10 อันดับแรกของบริษัทคิดเป็นสามส่วนของสินทรัพย์ทั้งหมด $269.6 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Enbridge (NYSE:ENB) New Jersey Resources (NYSE:NJR) Consolidated Edison (NYSE:ED) Daqo New Energy (NYSE:DQ) และ JinkoSolar (NYSE:JKS)
ตลอดระยะเวลา 12 เดือนล่าสุด CNRG ปรับตัวลดลงมาแล้วมากกว่า 22% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ในเดือนมีนาคมปี 2021 มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 16.44.35x และ 1.41x ตามลำดับ หากต้องการลงทุนในระยะยาว ควรรอให้ CNRG ลงมาถึง $80 หรือต่ำกว่า จึงจะเป็นจุดเข้าที่เหมาะสม