สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินผันผวนต่อเนื่องและผู้เล่นในตลาดยังคงปิดรับความเสี่ยงจากปัญหาสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน
-
ในระยะสั้น สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ควรติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งปัญหาสงครามที่เกิดขึ้น อาจส่งกระทบต่อการตัดสินใจนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลักได้ โดยในสัปดาห์นี้ตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมของ ECB
-
เงินดอลลาร์เริ่มมี Upside ที่จำกัด โดยมีแรงซื้อจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อหลบความไม่แน่นอนของสงคราม ทั้งนี้ เงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลงได้ หาก ECB มีท่าทีที่สนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยมากขึ้น ส่วนเงินบาทมีแนวโน้มผันผวนในกรอบกว้าง ตาม risk sentiment ในตลาด อนึ่ง ในระยะสั้น เรามองว่า แนวรับสำคัญยังคงเป็นโซน 32.20 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้นำเข้าต่างรอซื้อเงินดอลลาร์และนักลงทุนต่างชาติบางส่วนก็อยากขายทำกำไร ณ โซนดังกล่าว ส่วนแนวต้านจะอยู่ใกล้ระดับ 32.80-32.90 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งผู้ส่งออกต่างรอขายเงินดอลลาร์
-
มองกรอบเงินบาทสัปดาห์นี้
32.20-32.90 บาท/ดอลลาร์
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
-
ฝั่งสหรัฐฯ – ตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งจะเป็นข้อมูลเงินเฟ้อสำคัญที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของเฟดได้ โดยตลาดคาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะเร่งตัวขึ้นแตะระดับ 7.9% ขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานก็อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 6.4% ซึ่งจะเห็นได้ว่าแรงหนุนเงินเฟ้อของสหรัฐฯ นั้นมากจากทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาสินค้าพลังงานที่เร่งตัวสูงขึ้น รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงขยายตัวได้ดี ทำให้เฟดสามารถเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นในปีนี้ได้ ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนของภาวะสงคราม รวมถึงราคาสินค้าพลังงานรวมถึงราคาสินค้าอื่นๆ ที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจากภาวะสงครามจะกดดันความเชื่อมั่นผู้บริโภค สำรวจโดย มหาวิทยาลัยมิชิแกน (UofM Consumer Sentiment) ในเดือนมีนาคมให้ลดลงสู่ระดับ 61 จุด จาก 62.8 จุดในเดือนก่อนหน้า
-
ฝั่งยุโรป – เรามองว่าสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังและติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูงและอาจส่งผลให้ตลาดการเงินยังมีแนวโน้มผันผวนสูงต่อได้ ทั้งนี้ ไฮไลท์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะจับตาคือ การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเรามองว่า ECB จะยังคงอัตราดอกเบี้ย (Deposit Facility Rate) ไว้ที่ระดับ -0.50% เพื่อประคองการฟื้นตัวเศรษฐกิจยุโรปจากผลกระทบของสงคราม อย่างไรก็ดี ประเด็นที่น่าสนใจคือ มุมมองของประธาน ECB ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อหลังเกิดสงครามขึ้น รวมถึงประมาณการเศรษฐกิจล่าสุดของ ECB ซึ่งอาจส่งสัญญาณถึงการปรับนโยบายการเงินในอนาคตได้ อนึ่งในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจ ตลาดประเมินว่า สถานการณ์สงครามที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง จะกดดันให้บรรดานักลงทุนต่างมีมุมมองที่แย่ลงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดการเงินยุโรปในช่วงนี้ สะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (Sentix Investor Confidence) เดือนมีนาคมที่จะปรับตัวลดลงอย่างมากสู่ระดับ 5.3 จุด จาก 16.6 จุด
-
ฝั่งเอเชีย – ตลาดประเมินว่าผลกระทบของราคาสินค้าพลังงานที่เร่งตัวขึ้นและการใช้จ่ายของคนจีนในช่วงเทศกาลตรุษจีนจะช่วยหนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของจีนในเดือนกุมภาพันธ์ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 1.1% ทว่าดัชนีราคาสินค้าผู้ผลิต (PPI) ในเดือนกุมภาพันธ์ อาจชะลอตัวลงเล็กน้อยสู่ระดับ 8.6% เนื่องจากฐานราคาสินค้าผู้ผลิตที่สูงในปีก่อนหน้าและความพยายามคุมต้นทุนการผลิตของรัฐบาลจีน อย่างไรก็ดี หากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากภาวะสงครามอาจส่งผลให้ PPI ปรับตัวขึ้นได้เช่นกัน
-
ฝั่งไทย – ความไม่แน่นอนของสถานการณ์สงคราม รวมถึงค่าครองชีพที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นและสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ที่ยังมียอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น อาจกดดันให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) ในเดือนกุมภาพันธ์ ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 43.8 จุด สะท้อนว่าผู้บริโภคมีมุมมองที่เป็นลบมากขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ