รายงานผลประกอบการของบริษัทอัลฟาเบต (NASDAQ:GOOGL) หรือบริษัทแม่ของเสิร์ชเอ็นจิ้นชื่อดัง ‘กูเกิล (Google)’ ในไตรมาสที่ 4 ปี 2021 เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาสร้างความพอใจให้กับนักลงทุนมิใช่น้อย ก่อนที่จะรายงานผลประกอบการ หุ้นกูเกิลมีราคาซื้อขายที่ $2,700 แต่หลังจากรายงานผลประกอบการไปแล้ว หุ้นกูเกิลสามารถทะยานขึ้น สู่ระดับราคาที่ $3,030.93
สิ่งที่ถูกใจนักลงทุนเป็นอย่างมากในรายงานผลประกอบการครั้งนี้คือการประกาศแตกพาร์ 20 ต่อ 1 นี่ถือเป็น สัญญาณที่ดีมาก เพราะโดยปกติแล้วการประกาศแตกพาร์จะสื่อถึงความเชื่อมั่นของผู้บริหารต่อธุรกิจของบริษัทในระยะยาว และราคาต่อหุ้นที่ถูกลงยังทำให้นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากเข้าถึงหุ้นได้ง่ายขึ้น
ในขณะที่กำลังเขียนบทความนี้ หุ้นกูเกิลมีราคาซื้อขายอยู่ที่ $2,784 ซึ่งยังถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ InvestingPro ประเมินเอาไว้ที่ $3,235.53 หมายความว่าจากระดับราคาในปัจจุบัน หุ้นกูเกิลยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก 16.2%
ที่มา: InvestingPro
หากว่าในเดือนกรกฎาคม หุ้นกูเกิลมีราคาซื้อขายอยู่ที่ $3,000 หรือสูงกว่านั้นจริง ราคาซื้อขายหุ้นรอบใหม่จะมีราคาอยู่ที่ $150 ต่อหุ้น ซึ่งอาจจะทำให้หุ้นกูเกิลสามารถขึ้นไปอยู่บนดัชนีดาวโจนส์ได้ ความแข็งแกร่งของหุ้นกูเกิลทำให้กลุ่มผู้ให้บริการด้านการสื่อสารเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก ดังนั้นวันนี้เราจึงจะมาแนะนำกองทุน ETF ที่เน้นลงทุนกับหุ้นกลุ่มนี้ และมีการถือหุ้นของบริษัทอัลฟาเบตเอาไว้ด้วย
1. Fidelity MSCI Telecommunication Services Index ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $46.18
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $45.10 - $57.33
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 0.76%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.08% ต่อปี
กองทุนตัวแรกที่เราอยากจะนำเสนอมีชื่อว่า Fidelity MSCI Communication Services Index ETF (NYSE:FCOM) เป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมเป็นหลัก เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2013
ปัจจุบัน FCOM ถือครองหุ้นบริษัทอยู่ทั้งหมด 114 บริษัท อ้างอิงราคาตามดัชนี MSCI US IMI (LON:IMI) หุ้นสิบอันดับแรกของบริษัทคิดเป็น 67% ของสินทรัพย์ทั้งหมด $788.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หากแบ่งสัดส่วนการถือครองหุ้นออกเป็นกลุ่ม จะพบว่าหุ้นในกลุ่มผู้ให้บริการเกี่ยวกับอินเตอร์แอคทีฟมีเดียมีสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่ง ตามมาด้วยหุ้นสื่อ 20.57% และสื่อบันเทิง 18.29%
ในบรรดาหุ้นที่ถือครองทั้งหมด หุ้นกูเกิลถือว่ามีสัดส่วนการถือครองมากที่สุด โดยแบ่งออกเป็นหุ้นกูเกิลสำหรับผู้ที่มีสิทธิ์โหวตเปลี่ยนนโยบายบริษัท (GOOGL) (11.60%) และผู้ที่ไม่มีสิทธิ์โหวตเปลี่ยนนโยบายบริษัท (NASDAQ:GOOG) (10.85%) ตามมาด้วยหุ้นของบริษัทเมต้า แพลตฟอร์ม Meta Platforms (NASDAQ:FB) ที่ก่อนหน้านี้รายงานผลประกอบการพึ่งสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน จนเกิดการเทขายหุ้น 26%
นอกจากสองบริษัทชื่อดัง หุ้นที่ FCOM ถือตัวอื่นๆ ได้แก่ Walt Disney (NYSE:DIS), Verizon Communications (NYSE:VZ), AT&T (NYSE:T), Comcast (NASDAQ:CMCSA) และ Netflix (NASDAQ:NFLX)
ตั้งแต่ต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน ราคากองทุน FCOM ปรับตัวลดลงมาแล้ว 6.6% มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 7.39x และ 3.13x ตามลำดับ การที่หุ้นเฟซบุ๊กร่วงลง ส่งผลกระทบให้ราคากองทุนปรับตัวลดลงมาด้วย ผู้ที่สนใจเข้าถือหุ้นกูเกิลและเฟซบุ๊ก จังหวะนี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สมควรแก่การเข้าถือครอง FCOM
2. iShares Global Comm Services ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $76.14
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $74.72 - $91.21
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 1.92%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.43% ต่อปี
กองทุนตัวถัดมามีชื่อว่า iShares Global Comm Services ETF (NYSE:IXP) เป็นกองทุนที่เปิดโอกาสให้กับผู้ที่ต้องการถือครองหุ้นของบริษัทผู้ทำงานเกี่ยวกับสื่อและโซเชียลมีเดีย ความบันเทิง วิดีโอ เกม และบริการโทรคมนาคม กองทุนนี้เริ่มเปิดให้ลงทุนมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2001
ปัจจุบัน IXP ถือครองหุ้นบริษัทอยู่ทั้งหมด 74 บริษัท หุ้นชื่อดังสิบอันดับแรกของกองทุนคิดเป็นสัดส่วนการถือครองสองในสามของสินทรัพย์ทั้งหมด $247.7 ล้านเหรียญสหรัฐ หากพิจารณาจำแนกออกเป็นกลุ่มหุ้นจะพบว่า IXP มีการถือครองหุ้นในกลุ่มผู้ให้บริการเกี่ยวกับอินเตอร์แอคทีฟมีเดียเกือบครึ่งหนึ่ง คล้ายกันกับ FCOM ตามมาด้วยกลุ่มบริการโทรคมนาคมแบบบูรณาการ (19.46%) และภาพยนตร์และความบันเทิง (8.70%)
70% ของหุ้นที่กองทุนนี้ถือครองเป็นบริษัทที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยจีน 7.13% ญี่ปุ่น 6.6% สหราชอาณาจักร 2.76% แคนาดา 2.49% และอื่นๆ หุ้นกูเกิลมีสัดส่วนการถือครองโดย IXP อยู่ที่ 23% เมต้าแพลตฟอร์มมากกว่า 12% นอกนั้นก็จะเป็นหุ้นชื่อดังอื่นๆ อย่างเช่น Tencent Holdings (OTC:TCEHY), Verizon, Comcast, Disney และ AT&T
ตลอดระยะเวลา 12 เดือนล่าสุด ราคาของ IXP ได้ปรับลดลงมาแล้วประมาณ 3.8% มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 17.93x และ 3.11x ตามลำดับ การปรับตัวลดลงอย่างหนักของหุ้นเฟซบุ๊ก สร้างผลกระทบต่อกองทุนนี้คล้ายๆ กันกับ FCOM ดังนั้น นักลงทุนรอราคากองทุนประเภทนี้ให้มีราคาถูกลงอยู่แล้ว นี่คือจังหวะของคุณ