คำโบราณที่ว่า “ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน” อาจจะถูกนำมาโยงกับการเดินเกมตลาดน้ำมันของซาอุดิอาระเบียได้อีกครั้ง เมื่อพวกเขาประกาศขึ้นราคาน้ำมันในเดือนมีนาคมสำหรับทุกเกรดที่จะส่งไปขายในเอเชีย
ในขณะเดียวกัน นักลงทุนทองคำฝั่งขาขึ้นก็กำลังรอรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนมกราคมของสหรัฐอเมริกา ที่จะประกาศในวันพฤหัสบดีนี้ หลังจากที่ความเป็นจริงตรงกับตัวเลขเงินเฟ้อ ที่เพิ่มสูงขึ้นที่สุดในรอบสี่สิบปี
หลังจากที่สัปดาห์ที่แล้วราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น 6% จนทำให้ราคาน้ำมันดิบสามารถสร้างขาขึ้นเจ็ดสัปดาห์ติดต่อกันนั้น เมื่อวานนี้ตลาดน้ำมันในช่วงเช้าของฝั่งเอเชียกลับเปิดตลาดด้วยการปรับฐานอย่างเงียบๆ ก่อนที่การปรับฐานนี้จะเกิดขึ้น ซาอุดิอาระเบียประกาศขึ้นราคาน้ำมันที่จะส่งมาขายยังฝั่งเอเชีย ผ่านบริษัทซาอุดิ อารัมโก ดังนั้นเราจึงสามารถบอกได้เลยตรงนี้ว่าราคาน้ำมันจะคงอยู่ที่ $90 ต่อบาร์เรล หรือสูงกว่านี้ไปอีกสักระยะ
ส่วนหนึ่งของขาขึ้นในสัปดาห์ที่แล้วมาจากความกังวลเกี่ยวกับแหล่งผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติใน Permian ว่าอาจจะกลายเป็นน้ำแข็งอย่างที่เคยเกิดขึ้นในปี 2021 หากว่าอากาศหนาวสุดขั้วสามารถเข้ามาปกคลุมรัฐเท็กซัส ในปีที่แล้วพายุหิมะที่หนักเกินคาดได้ทำให้เกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับ และทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 200 คน
อย่างไรก็ตาม ปีนี้เจ้าหน้าที่สาธารณูปโภคในเท็กซัสมั่นใจว่าโครงข่ายไฟฟ้าของรัฐจะสามารถหลีกเลี่ยงการเกิดไฟฟ้าดับซ้ำอย่างในปีที่แล้ว จากพายุหิมะที่พัดผ่านทั่วทั้งภูมิภาคได้ นับตั้งแต่ภัยพิบัติครั้งนั้นในปี 2021 ภาครัฐได้มีการวางกฎเกณฑ์ใหม่ ซึ่งกำหนดให้ผู้ให้บริการระบบไฟฟ้าต้องเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรอง
ดังนั้นนักวิเคราะห์จึงมองว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กระทบกับน้ำมันจริงๆ แม้แต่หยดเดียวคือสถานการณ์ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างรัสเซียและยูเครน เพราะเมื่อไปดูเปรียบเทียบกับตลาดก๊าซธรรมชาติก็พบว่าราคาก๊าซธรรมชาติกลับปรับตัวลดลง 18% เมื่อวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำลายขาขึ้น 16% ในวันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์จนหมด ชี้ให้เห็นว่าความกังวลที่มีต่อ Permian มีมากเกินไป
ข้อมูลรายงานจากกรมอุตุวิทยาระบุว่าอากาศในรัฐเท็กซัสเมื่อวานนี้มีอุณหภูมิอุ่นขึ้นเมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่แล้ว ดังนั้นนักลงทุนจึงลดความสำคัญกับข่าวจาก Permian และหันไปสนใจการปรับราคาของซาอุดิอาระเบียแทน Eamonn Sheridan นักวิเคราะห์จาก ForexLive วิเคราะห์ว่า
“นักลงทุนในตลาดมีปฏิกริยากับความเชื่อของซาอุดิอาระเบียที่มองว่าระดับอุปสงค์น้ำมันจะยังไม่เพิ่มขึ้นในเร็วๆ นี้ ดังนั้นในสายตาของ OPEC การคงกำลังการผลิตน้ำมันเอาไว้ที่ 400,000 บาร์เรลต่อวันถือว่าสมควรแล้ว ถึงแม้ว่าประเทศผู้ผลิตบางประเทศจะไม่สามารถผลิตได้ตามโควตาก็ตาม”
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.3% มีราคาซื้อขายสูงสุดในวันนั้นอยู่ที่ $93.17 ต่อบาร์เรล หากนับเฉพาะช่วงเจ็ดสัปดาห์ล่าสุด จะพบว่า WTI วิ่งขึ้นมาแล้ว 30% และถ้านับตั้งแต่ต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน ราคาน้ำมันดิบ WTI สามารถวิ่งขึ้นมาทั้งหมด 23% ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เมื่อวันศุกร์ที่แล้วปรับตัวขึ้น 2.4% มีราคาซื้อขาย ณ ตอนนั้นอยู่ที่ $93.27 ต่อบาร์เรล ตลอดทั้งปี 2022 เบรนท์วิ่งขึ้นมาแล้ว 20%
ทองคำกับการรอตัวเลข CPI
ความเคลื่อนไหวของราคาทองคำเมื่อวานนี้ไม่ได้แตกต่างไปจากวันศุกร์มากนัก ราคาทองคำยังคงสามารถวิ่งขึ้นได้เล็กน้อย ก่อนที่จะย่อตัวลดลงมา แต่การย่อตัวนั้นก็ไม่ได้มากกว่าการปรับตัวขึ้น แม้แต่การรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ก็ไม่สามารถกดดันราคาทองคำให้ลงไปวิ่งต่ำกว่า $1,800 ได้
ราคาซื้อขายทองคำล่วงหน้าที่จะส่งมอบในเดือนเมษายนบนตลาด COMEX เมื่อวันศุกร์ปรับตัวขึ้น 0.1% มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $1,809.65 ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นมาได้ 1.3% สำหรับตลาดอื่นๆ ตัวเลขขาขึ้นเกิน 1% ถือว่าเป็นอะไรที่ยอมรับได้ แต่สำหรับนักลงทุนทองคำ พวกเขายังคงมองว่าทองคำควรจะวิ่งขึ้นได้มากกว่านี้ ทั้งๆ ที่อยู่ในสถานการณ์ที่เงินเฟ้อสูงที่สุดในรอบสี่สิบปี
Ed Moya นักวิเคราะห์จาก OANDA ให้ความเห็นเกี่ยวกับราคาทองคำในตอนนี้ว่า
“ตราบใดที่ราคาทองคำยังสามารถวิ่งอยู่เหนือ $1,800 นักลงทุนฝั่งขาขึ้นก็สามารถวางใจได้ แต่ถ้าหลุดลงมาต่ำกว่า $1,780 ได้เมื่อไหร่ สถานการณ์ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป และมีโอกาสที่ราคาทองคำจะลงไปทดสอบแนวรับที่ $1,700 ได้ง่ายขึ้น”
Greg Michalowski นักเศรษฐศาสตร์พูดถึงความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ใน ForexLive ว่า
“หลังจากที่ตัวเลขการจ้างงานฯ ออกมาดี การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์ใช้เรียกเก็บซึ่งกันและกัน (Fed Fund Rate) ได้ระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจะขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้มากที่สุดห้าครั้ง ยิ่งจำนวนครั้งมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งแสดงให้เห็นความเชื่อมั่นที่เฟดมีต่อเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา การขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้าและพฤษภาคมนั้นแทบจะเป็น 100% แล้ว และมีโอกาส 82% ที่จะมีการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน และ 56% ในเดือนกรกฎาคมและพฤศจิกายน ซึ่งแต่ละครั้งจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 25 จุดเบสิส”
สมมุติว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 5 ครั้ง ครั้งละ 25 จุดเบสิสจริง จากระดับอัตราดอกเบี้ยตอนนี้ที่ 0.00% - 0.25% จะเท่ากับว่าภายในสิ้นปีนี้ กรอบอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะอยู่ระหว่าง 1.25% - 1.50% ต้องบอกไว้ก่อนว่าตัวเลขนี้ยังไม่ได้รวมความเป็นไปได้ที่บางครั้งอาจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 25 จุดเบสิส ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจในแต่ละเดือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขการจ้างงานฯ ในทุกๆ ต้นเดือน และตัวเลขเงินเฟ้อที่จะประกาศในวันพฤหัสบดีนี้
Sunil Kumar Dixit นักวิเคราะห์จาก skcharting.com วิเคราะห์สถานการณ์ของตลาดทองคำว่า
“หลังจากที่ตลาดได้ทราบตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรไปแล้ว นักลงทุนก็เป็นกังวลว่าทองคำอาจจะลงไปวิ่งปรับฐานอยู่ที่ $1,800 $1,797 หรืออาจจะเลยไปถึง $1,790 ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การที่ยังสามารถยืนเหนือ $1,800 ได้ถือเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก หากสัปดาห์นี้ทองคำยังสามารถยืนเหนือ $1,785 ได้ มีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นไปถึง $1,825 และหากยืนเหนือกว่าระดับนั้นได้ ก็จะเป็นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับขาขึ้นในอนาคต”