เปิดปี 2022 มาด้วยความไม่แน่นอนปกคลุมไปทั่วตลาดลงทุน ไม่ว่าจะเป็นภาวะเงินเฟ้อ ความพยายามขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด การระบาดของเชื้อไวรัสโควิดใหม่ ความกังวลนั้นทำให้ดัชนีหลักทั้งสามของอเมริกาไม่ว่าจะเป็นเอสแอนด์พี 500 แนสแด็ก 100และดาวโจนส์ในเดือนมกราคมปรับตัวลดลง 5.6% 9.1% และ 3.7% ตามลำดับ
เมื่อมองไปยังสินทรัพย์ตัวไหนก็มีแต่ความผันผวน นักลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจึงเริ่มถกเถียงกันว่าลงทุนในสินทรัพย์ใดในช่วงนี้ดีที่สุด หากอ้างอิงตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ในเวลาที่ตลาดหุ้นผันผวน พร้อมกับต้องเจอภาวะเงินเฟ้อเช่นนี้ นักลงทุนมักจะโยกเงินไปหลบไว้กับหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม พลังงาน สินค้าอุปโภคบริโภค ทองคำ สินค้าโภคภัณฑ์ทางการเกษตร และแร่โลหะอื่นๆ ที่สามารถคานความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้
กองทุน ETF ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่นักลงทุนให้ความสนใจ ในบทความนี้เราจะพาไปดูกองทุน ETF ที่สามารถให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนีหลักในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และหุ้นตัวอื่นๆ ในเดือนมกราคม
1. Invesco DB Agriculture Fund
- ระดับราคาปัจจุบัน: $20.19
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $16.31 - $20.39
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.93% ต่อปี
กองทุนแรกเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในสัญญาซื้อขายสินค้าทางการเกษตรล่วงหน้า กองทุนนี้มีชื่อว่า Invesco DB Agriculture Fund (NYSE:DBA) กองทุนนี้เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมกราคมปี 2007 อ้างอิงความเคลื่อนไหวตามดัชนี DBIQ Diversified Agriculture Index Excess Return ปัจจุบันมีสินทรัพย์รวมแล้วเกือบ $1,050 ล้านเหรียญสหรัฐ
งานวิจัยของ Rabobank เขียนถึงการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ทางการเกษตรเมื่อเร็วๆ นี้ว่า
“ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้รับแรงหนุนจากภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งรวมถึงค่าขนส่ง ราคาพลังงานและปุ๋ยที่แพงขึ้น ตลอดจนปัญหาการขาดแคลนแรงงานในหลายประเทศ นอกจากนี้ยังมีต้นทุนการนำสินค้าเข้าของฟาร์มที่สูงขึ้น และความต้องการสินค้าที่ดีที่สุด ประเด็นเหล่านี้มีแต่จะทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2022 แรงกดดันเงินเฟ้อเช่นนี้และปัญหาซัพพลายเชนขาดแคลนจะสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น และความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยจะถูกกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่กองทุน DBA ถือครองเอาไว้ได้แก่ ถั่วเหลือง (13.40%), ข้าวโพด (12.75%), กาแฟ (12.34%), ข้าวสาลี (12.17%), สินค้าปศุสัตว์ (12.01%), น้ำตาล (11.15%), โกโก้ (10.65%), เนื้อสุกร (8.77%), วัวขุน (3.89%) และฝ้าย (2.89%)
ราคากองทุน DBA ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดในรอบหลายปีเมื่อวันที่ 20 มกราคม ตลอดระยะเวลา 12 เดือนล่าสุดปรับตัวขึ้นมาแล้วเกือบ 23% หากนับตั้งแต่ต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน DBA วิ่งขึ้นมาแล้วมากกว่า 2% นักลงทุนที่สนใจลงทุนใน DBA ควรรอให้ราคาย่อตัวลงมาก่อน แล้วจึงตัดสินใจเข้าซื้อ
2. First Trust Multi-Asset Diversified Income Index Fund
- ระดับราคาปัจจุบัน: $16.79
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $15.05 - $17.44
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 5.12%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.68% ต่อปี
กองทุนตัวถัดมามีชื่อว่า First Trust Multi-Asset Diversified Income Index Fund (NASDAQ:MDIV) เป็นกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์สร้างรายได้ห้าประเภท ประกอบไปด้วยห้างหุ้นส่วนจำกัดหลัก (MLP) (20%) ตราสารบุริมสิทธิ (20%) อสัหาหาริมทรัพย์ (20%) และตราสารหนี้อัตราผลตอบแทนสูง (20%) ผู้จัดการกองทุนเป็นผู้ดำเนินการแบ่งเงินลงทุนในหุ้น ในสัดส่วนเท่ากัน
MDIV ปัจจุบันถือครองหุ้นอยู่ทั้งหมด 125 บริษัท อ้างอิงการวิ่งของราคามาจากดัชนี NASDAQ Multi-Asset Diversified Income Index เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2012 มีสินทรัพย์รวมกันทั้งหมด $463.7 ล้านเหรียญสหรัฐ
หุ้นของบริษัทชื่อดังคิดเป็นเกือบหนึ่งในสามของพอร์ต MDIV บริษัทชื่อดังเหล่านั้นยกตัวอย่างเช่น Annaly Capital Management (NYSE:NLY) Omega Healthcare Investors (NYSE:OHI) Shell Midstream Partners (NYSE:SHLX) และ Icahn Enterprises (NASDAQ:IEP)
ในปี 2021 กองทุน MDIV ให้ผลตอบแทนคืนแก่ผู้ถือครองแล้ว 10.5% ถึงแม้ว่าตั้งแต่ต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน ราคากองทุนจะปรับตัวขึ้นได้เพียง 0.4% แต่ระดับราคาปัจจุบันก็สอดคล้องกับการให้ผลตอบแทนสูงมากกว่า 5% อีกหนึ่งกองทุนที่เน้นลงทุนเฉพาะตราสารหนี้อัตราผลตอบแทนสูงคือ First Trust Tactical High Yield ETF (NASDAQ:HYLS) พวกเขามีสินทรัพย์ประเภทนี้อยู่ในกองทุนประมาณ 19.3% จากสินทรัพย์ทั้งหมดที่ถือครอง