หากยังจำกันได้ ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนปี 2021 ถือเป็นช่วงเวลาที่ตลาดสกุลเงินดิจิทัลคึกคักที่สุดในรอบปี เมื่อเหล่าสาวกของสกุลเงินดิจิทิลบิทคอยน์หรืออีเธอเรียมต่างก็ส่งเสียงเชียร์ ตะโกนดังๆ ออกมาอย่างไม่กลัวหน้าแตกว่า “มาแน่ๆ บิทคอยน์ $100,000 ก่อนปี 2022” หากเป็นเช่นนั้นจริง ตอนนี้เราจะได้เห็นบิทคอยน์มีมูลค่าตามตลาดอยู่ที่ $3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐไปแล้ว
แน่นอนว่าสิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้น ขาลงอย่างกะทันหันปรากฎในวันที่ 10 พ.ย. เมื่อบิทคอยน์และอีเธอเรียมทำจุดสูงสุด แล้วพลิกกลับมาปิดในราคาที่ต่ำกว่าวันก่อนหน้า ในตอนแรก ผู้คนยังเชื่อว่านั่นเป็นเพียงการย่อตัวธรรมดา แต่หารู้ไม่ว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของขาลง ที่กินระยะเวลามาแล้วทั้งสิ้นสองเดือนกับอีกยี่สิบวัน จากวันนั้นจนถึงวันนี้ทั้งสองสกุลเงินดิจิทัลไม่เคยกลับไปทดสอบจุดสูงสุดล่าสุดที่ทำให้ระหว่างทางขาลงได้อีกเลย
การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ระบบเศรษฐกิจของมนุษยชาติถดถอย เมื่อนักลงทุนมองเห็นความเสี่ยง พวกเขาจึงมักจะพยายามมองหาสินทรัพย์ทรงเลือกอื่นๆ เพื่อหวังเพียงว่าจะรักษามูลค่าของสินทรัพย์ในยามวิกฤตเอาไว้ได้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เรามีทองคำเป็นสินทรัพย์สำรองมาโดยตลอด แต่เมื่อสกุลเงินดิจิทัลถือกำเนิดขึ้น บางคนจึงมองว่ามันเป็นสินทรัพย์สำรองด้วย ถึงจะไม่ปลอดภัย แต่ก็มีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าการปล่อยเงินให้วางอยู่เฉยๆ ในบัญชีธนาคาร
เมื่อเห็นเหตุผลเช่นนั้น ตลอดสองปีกับอีกหนึ่งเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนยังคงนำเงินไปลงทุนกับสินทรัพย์สำรอง ถึงแม้ว่าปีนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีแผนขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว แต่จนกว่าจะถึงวันนั้น นักลงทุนก็ยังคงลงทุนในสินทรัพย์สำรองเพื่อคานความเสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่คำถามก็คือระหว่างทองคำกับสกุลเงินดิจิทัล ใครจะเป็นสินทรัพย์คานความเสี่ยงได้ดีที่สุด? เรื่องนี้แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ระดับหัวกะทิก็ยังเถียงกันไม่จบไม่สิ้น
ในวันที่มูลค่าคริปโตฯ ละลายเร็วกว่าไอศกรีม
ตั้งแต่ตลาดสกุลเงินดิจิทัลขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ในวันที่ 10 พฤศจิกายน จากนั้นเราก็คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากว่าจาก $67000 ลงมาเหลือ $37,000 นักลงทุนขาขึ้นในตอนนี้จะมีสภาพเป็นเช่นไร ในวันที่ 10 พฤศจิกายน ทั้งกราฟบิทคอยน์และอีเธอเรียมก็ได้สร้างสัญลักษณ์ที่เป็นตัวบ่งบอกถึงการกลับตัวเอาไว้แล้ว
ที่มา: CQG
กราฟรายสัปดาห์รูปนี้แสดงให้เห็นขาลงของบิทคอยน์ฟิวเจอร์ฺส ที่มูลค่าหายไปเกินครึ่ง จาก $69,355 ลงมายัง $32,855 ในสัปดาห์ที่แล้ว จากจุดสูงสุดนั้นลงมาถึงราคาปัจจุบัน คิดเป็นมูลค่าที่หายไป 52.6% และในขณะที่กำลังเขียนบทความนี้อยู่ บิทคอยน์ยังทำได้เพียงขึ้นยืนเหนือ $37,000 เท่านั้น และยังไม่มีใครรู้ว่าบิทคอยน์จะเปิดฉากลงต่อเมื่อไหร่
ที่มา: CQG
ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่เติบโตมากที่สุดในปี 2021 แต่เมื่อบิทคอยน์ลง ต่อให้อีเธอเรียมจะเจ๋งแค่ไหนก็ไม่รอด ในรูปนี้คือกราฟอีเธอเรียมฟิวเจอร์สรายสัปดาห์ที่ร่วงลงจาก $4,902.75 ลงมาสร้างจุดต่ำสุดที่ $2,158 คิดเป็นมูลค่าที่หายไป 56% มีราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ $2,425 อยู่ไม่ห่างจากจุดต่ำสุดล่าสุดเท่าไหร่
ภาพแบบนี้เราเคยเห็นมาก่อน แต่ที่ไหน?
ต่อให้บิทคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลจะเป็นตลาดใหม่ และดึงดูดผู้คนมาได้มากแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจหนีความจริงได้พ้นว่าไม่มีตลาดไหนที่วิ่งขึ้นเป็นเส้นตรง และทุกครั้งที่มีการปรับฐาน แต่ละตลาดก็มีสภาพที่ไม่น่ามองกันทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่นตลาดไม้แปรรูปฟิวเจอร์สที่ร่วงลงจากจุดสูงสุดตลอดกาลเหนือ $1,700 ต่อหนึ่งพันบอร์ดฟุต ลงมาเหลือ $488 ต่อหนึ่งพันบอร์ดฟุตในเดือนสิงหาคมปี 2021 ก่อนที่จะวิ่งกลับขึ้นไปยืนเหนือ $1,300 ได้ในช่วงต้นปี 2022
ที่มา: CQG
หากพูดถึงความผันผวนนี้ บิทคอยน์มีประวัติการวิ่งลักษณะนี้อยู่เต็มไปหมด และผันผวนมากกว่าตลาดไม้แปรรูปหลายเท่านัก
- ธันวาคมปี 2018: บิทคอยน์มีจุดสูงสุดอยู่ที่ $20,650 มีจุดต่ำสุดอยู่ที่ $3,120
- มีนาคม 2020: บิทคอยน์มีจุดสูงสุดอยู่ที่ $13,915 มีจุดต่ำสุดอยู่ที่ $4,120
- พฤศจิกายน 2021: บิทคอยน์มีจุดสูงสุดอยู่ที่ $65,520 มีจุดต่ำสุดอยู่ที่ $28,800
- มกราคม 2022: เริ่มต้นจาก $47,000 ลงมาทำจุดต่ำสุดล่าสุดที่ $33,830
การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ปีนี้อาจทำให้ตลาดคริปโตฯ ซึมยาว
การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องประกาศลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อเสริมสภาพคล่องทางเศรษฐกิจ นอกจากนั้นทั้งธนาคารกลางและรัฐบาลต่างก็อัดเงินเข้าสู่ระบบ เพื่อให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจจะไม่ล้มไปกับมหากาพย์โรคระบาดครั้งนี้ แต่ไม่มีสิ่งใดได้มาฟรีๆ การโกงความตายของระบบเศรษฐกิจอเมริกา มีราคาที่ต้องจ่าย นั่นคืออัตราเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบสี่สิบปี
เพื่อเป็นการลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อให้เร็วที่สุด ธนาคารกลางสหรัฐฯ จึงได้ประกาศเปลี่ยนนโยบายการเงินให้ตึงตัวมากขึ้น พร้อมกันนั้น ก็เร่งระยะเวลาให้โครงการเงินเยียวจบลงภายในเดือนมีนาคมนี้ และนักวิเคราะห์ก็คาดกันว่าอาจจะได้เห็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2022 นี้เลย หากธนาคารกลางสหรัฐฯ ตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากจะทำให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า ยังจะทำให้ธนาคารกลางอื่นๆ ดำเนินรอยตามด้วย ล่าสุดกราฟฟิวเจอร์สของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 30 ปีได้ปรับตัวลดลงจนหลุดแนวรับไปแล้ว
ที่มา: CQG
รูปนี้คือกราฟรายเดือนของพันธบัตรฯ อายุ 30 ปีที่ลงมาทำจุดต่ำสุดล่าสุดอยู่ที่ 153.07 ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2019 ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนระยะยาวมีแต่จะปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอด
ที่จริงแล้ว ตลาดสกุลเงินดิจิทัลได้รับแรงกดดันจากฝั่งสกุลเงินปกติมาตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ในวันที่เฟดเริ่มยอมรับกลายๆ ว่าเงินเฟ้อไม่ใช่ปัญหาเล่นๆ อีกต่อไป การที่ธนาคารกลางฯ จะกลับมาเพิ่มมูลค่าให้กับสกุลเงิน หมายความว่าสกุลเงินดิจิทัลเองก็ต้องแข่งกับสกุลเงินปกติด้วย ถึงแม้ว่าสาวกคริปโตฯ จะอ้างว่าคริปโตฯ เป็นสินทรัพย์คานความเสี่ยงก็ตาม
ทองคำเติบโตได้ดีกว่าสินทรัพย์ใดๆ ในปี 2022
วิกฤตเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2020 มาจนถึงปัจจุบันทำให้เราได้เห็นเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่ง ตามตำราแล้ว เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อ ทองคำจะได้รับบทพระเอก กลายเป็นที่ต้องการของผู้คนในทันที แน่นอนว่าคนใช้ทองคำในฐานะตัวคานเงินเฟ้อ แต่ตั้งแต่มีสกุลเงินดิจิทัลเกิดขึ้นมา บิทคอยน์กลับเป็นสกุลเงินแรกที่สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ได้ก่อน ก่อนที่ทองคำจะสามารถทำได้ในช่วงเดือนสิงหาคมปี 2020 และหลังจากนั้นทั้งสองตลาดก็ปรับตัวลดลงเหมือนกัน
ปี 2021 มูลค่าของราคาทองคำลดลง 3.51% มีราคาซื้อขายในวันสุดท้ายของปี 2021 อยู่ที่ $1,828.60 ในขณะที่บิทคอยน์มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $47,985 หากนับจากวันแรกของปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน ตอนนี้ทองคำวิ่งลงมาแล้ว 2.4% มีราคาซื้อขายในวันที่ 28 มกราคมอยู่ที่ $1,784.90 ในขณะที่บิทคอยน์ปรับตัวลดลงมา 22.7% มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $37,085
จากข้อความข้างต้น จะเห็นว่าทั้งสองสินทรัพย์มีลักษณะการเคลื่อนไหวที่คล้ายกัน ดังนั้นการเฝ้าดูทองคำเมื่อเทียบกับคริปโตฯ เพื่อโต้เถียงว่าสินทรัพย์ใดเป็นตัวป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่ดีที่สุด เราจึงเชื่อว่ามีแนวโน้มที่จะเถียงกันเป็นวงกว้างมากขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
สำหรับนักลงทุน เราไม่ควรคาดหวังให้สองตลาดนี้ลดความผันผวนลง เพราะสิ่งนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นจริง ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะเลือกจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดที่ดีที่สุดในตลาด ดังนั้นจึงควรเข้าในจุดที่เราพิจารณาว่ารับความเสี่ยงไหว และมีแนวโน้มว่าจะเกิดความเสี่ยงน้อยที่สุดก็เพียงพอแล้ว ให้ที่มองว่าทองคำปรับฐานมานานพอแล้ว และเหมาะจะเป็นสินทรัพย์สำรองในปี 2022 ก็ให้ลงทุนในทองคำ ใครที่มองว่า $37,000 ของบิทคอยน์นั้นเพียงพอ ก็ให้ลงทุนในบิทคอยน์ได้เลย เพราะอย่างไรตอนนี้ทั้งสองตลาดก็อยู่ในจุดที่เริ่มเก็บสะสมเข้าพอร์ตลงทุนได้แล้ว