ลด 50%! ชนะตลาดในปี 2025 ด้วย InvestingProรับส่วนลด

ราคาน้ำมันยังไม่ยอมลงตราบใดที่ยูเครนยังไม่สงบ ทองคำชิงขึ้นก่อนการประชุมเฟด

เผยแพร่ 25/01/2565 10:31
XAU/USD
-
DX
-
GC
-
LCO
-
CL
-
US10YT=X
-

ถึงแม้ว่าความต้องการน้ำมันในสหรัฐอเมริกาจะลดลง และความกังวลที่มีต่อการประชุมนโยบายการเงินครั้งแรกของธนาคารกลางสหรัฐฯ แห่งปี 2022 จะช่วยเป็นแรงกดดันราคาน้ำมัน แต่ปัจจัยเหล่านั้นกลับทำอะไรไม่ได้เลยเมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่ารัสเซียจะบุกยูเครนเมื่อไหร่ ภายใต้สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยคำถามนี้ยิ่งทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
Brent Oil Daily

ทองคำเองก็เช่นกัน สินทรัพย์สำรองอันดับหนึ่งของโลกเอาแต่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ราวกับต้องการหนี $1,800 ไปให้ได้ไกลที่สุดก่อนที่ผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะส่งให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า และทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลดลง Gold Daily

สาเหตุที่ทองคำต้องรีบสร้างขาขึ้นให้ได้มากที่สุด เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะออกมาในรูปแบบที่สนับสนุนค่าเงินดอลลาร์ให้แข็งค่า เมื่อสกุลเงินมีมูลค่ามากกว่า ความสำคัญของสินทรัพย์สำรอง แม้แต่ทองคำเอง ก็จะลดลง เหตุผลเดียวที่ตอนนี้ทองคำสามารถปรับตัวขึ้นได้คือโลหะสีทองนี้กำลังคานความเสี่ยงของเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบ 40 ปีให้กับนักลงทุนอยู่ Crude Oil Daily

ตั้งแต่เริ่มต้นปี 2022 เป็นต้นมา ราคาน้ำมันดิบ WTI ได้ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 14% ในขณะที่เบรนท์ปรับตัวขึ้นมา 12% ตลอดระยะเวลาห้าสัปดาห์ล่าสุด ราคาน้ำมันได้ปรับตัวขึ้นมาห้าสัปดาห์ติดต่อกันโดยแทบจะไม่ได้หยุดพัก การปรับตัวลงที่มากที่สุดเห็นว่าจะเป็นขาลง 5% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งเกิดขึ้นมาจากความกังวลที่มีต่อปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาตลอดในรอบสามสัปดาห์ล่าสุด

Craig Erlam นักวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ OANDA แสดงความเห็นต่อสถานการณ์ของราคาน้ำมันดิบในตอนนี้ว่า

“การย่อตัวลงเมื่อวันศุกร์ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ายิ่งเข้าใกล้ $90 ต่อบาร์เรรลมากเท่าไหร่ ความกังวลก็ยิ่งมีแต่จะสร้างแรงต้านมากขึ้นเท่านั้น นี่คือแนวต้านทางจิตวิทยาที่สำคัญแนวหนึ่ง ตอนนี้นักวิเคราะห์บางคนแทบจะนับถอยหลังรอวันเห็น $100 ต่อบาร์เรลกันแล้ว”

Sunil Kumar Dixit นักวิเคราะห์จากเว็บไซต์ skcharting.com วิเคราะห์ว่าราคาน้ำมันดิบ WTI สามารถทะลุแนวต้าน $85.40 ต่อบาร์เรล ขึ้นไปทดสอบระดับราคา $87 ต่อบาร์เรล นับเป็นจุดสูงสุดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2014 ก่อนที่จะย่อลงมายัง $85.14 ต่อบาร์เรลเพราะการปิดออเดอร์ซื้อขายทำกำไรไปก่อน

“เราอาจจะได้เห็นการผ่อนเครื่องของราคาน้ำมันดิบ ซึ่งนั่นอาจส่งราคาให้ปรับตัวลดลงถึงแนวรับ $82 ต่อบาร์เรล ถ้าหากขาลงนั้นได้รับการตอบสนองต่อเนื่อง มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวลดลงไปถึงแนวรับ $80 ต่อบาร์เรล $78 ต่อบาร์เรล และ $76.50 ต่อบาร์เรลตามลำดับ การขึ้นยืนเหนือ $85.70 ต่อบาร์เรลได้ จะทำให้ขาขึ้นของ WTI มีกำลังมากขึ้น และจะส่งราคาให้ปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปที่ $87, $89 และ $90 ต่อบาร์เรลตามลำดับ” - Sunil กล่าว

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานการวิเคราะห์ของ Kazuhiko Saito หัวหน้านักวิเคราะห์จาก Fujitomi Securities ว่าสาเหตุที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นมาในช่วงนี้หลักๆ เป็นเพราะความตึงเครียดทางการทหารระหว่างรัสเซียและยูเครน และการที่กลุ่มประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมัน (OPEC+) ไม่สามารถผลิตน้ำมันได้ตามโควตา 400,000 บาร์เรล 

จากข้อมูลของหน่วยข่าวกรองของสหรัฐอเมริกา ทำให้ตอนนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนสั่งให้ทูตและครอบครัวที่ประจำอยู่ในยูเครนรีบออกจากประเทศ ทั้งๆ ที่ตอนนี้มีเพียงแต่อเมริกาเพียงประเทศเดียวเท่านั้นที่เชื่อว่ารัสเซียจะบุกยูเครน สำนักข่าว The New York Times ก็มีรายงานเมื่อวันอาทิตย์ว่าโจ ไบเดนกำลังพิจารณาส่งกองกำลังหลายพันนายไปยังประเทศพันธมิตรในกลุ่ม NATO เพื่อเฝ้าชายแดนยุโรปที่อยู่ใกล้กับพื้นที่ที่มีความเสี่ยงเข้าสู่สงคราม การกระทำนี้ยิ่งเพิ่มความกังวลให้นักลงทุน ว่าพลังงานต่างๆ ที่ส่งจากรัสเซียมายังยุโรปจะได้รับผลกระทบ

ในขณะเดียวกัน รัฐบาลอังกฤษก็ได้ออกมาเตือนรัสเซียว่าถ้าหากมีการตั้งผู้นำหุ่นเชิดเข้ามาในประเทศยูเครน รัสเซียจะต้องเผชิญกับการคว่ำบาตรในหลายๆ ด้าน ความร้อนแรงของเหตุการณ์ในตะวันออกกลางก็ไม่ได้ลดลง เมื่อสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์รายงานว่าได้ทำลายแท่นยิงมิสไซล์ของกลุ่มผู้ก่อการร้ายฮูติ (Houthi) ไปเรียบร้อยแล้ว ความตึงเครียดเหล่านี้ ที่มีความเกี่ยวข้องกับประเทศผู้ผลิตน้ำมัน และผู้ใช้งานหลักในยุโรป ย่อมมีแต่จะทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น

ข้อมูลจากสำนักบริหารสารสนเทศพลังงานของสหรัฐอเมริกา (EIA) เมื่อวันพฤหัสบดีระบุว่าปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐอเมริกาในสัปดาห์ที่แล้วปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 6 ล้านบาร์เรล และตลอดระยะเวลาสามสัปดาห์ล่าสุด ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังจาก EIA ปรับตัวขึ้นมาแล้วทั้งหมด 24 ล้านบาร์เรล ความต้องการน้ำมันในอเมริกาที่ลดลง สวนทางกับราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น

ข้อมูลจาก EIA ยังระบุด้วยว่าความต้องการน้ำมัน (แม้แต่เบนซิน) ในสหรัฐอเมริกาหายไปนับตั้งแต่ช่วงวันหยุดปีใหม่ สวนทางกับโรงกลั่นน้ำมันที่เปลี่ยนน้ำมันดิบเป็นน้ำมันเบนซินมากขึ้น เพราะเห็นว่าการระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอนเริ่มไม่เป็นที่พูดถึงกันแล้ว 

การเพิ่มขึ้นของน้ำมันดิบจาก EIA สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของน้ำมันดิบสหรัฐฯ ครั้งแรกในรอบแปดสัปดาห์ สัปดาห์ที่แล้วน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 515,000 ต่อบาร์เรล หลังจากปรับตัวลดลง 4.55 ล้านบาร์เรลต่อวันในสัปดาห์ก่อน ในช่วงสามสัปดาห์ล่าสุด น้ำมันดิบคงคลังได้ปรับตัวลดลงมา 6 ล้านบาร์เรล ในขณะที่น้ำมันดิบคงคลังที่ได้รับการกลั่นให้กลายเป็นน้ำมันดีเซลสำหรับรถบรรทุก รถบัส รถไฟและเรือในสัปดาห์ที่แล้วปรับตัวลดลง 1.431 ล้านบาร์เรล หลังจากเพิ่มขึ้น 2.54 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ก่อนหน้านั้น

ภาพรวมตลาดทองคำประจำสัปดาห์

นอกจากการรายงานผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ “FAAMG” สัปดาห์นี้ตลาดลงทุนจะให้ความสำคัญกับการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่จะเริ่มต้นในคืนนี้และวันพรุ่งนี้มากที่สุด ก่อนหน้านี้ ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นมาเล็กน้อย 

สิ่งที่นักลงทุนหวังจะได้เห็นจากการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในครั้งนี้คือข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับการจบโครงการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่จะสิ้นสุดลงในเดือนมีนาคมนี้ และเริ่มประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในสองเดือนนับจากนั้น ตอนนี้นักวิเคราะห์หลายสำนักเห็นตรงกันว่ามีโอกาสที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2022 สามครั้ง และแต่ละครั้งจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 25 จุดเบสิส

Fawad Razaqzada นักวิเคราะห์จาก ThinkMarkets แสดงความเห็นต่อการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ครั้งนี้ว่า

“ยิ่งเฟ้อเพิ่มขึ้นรุนแรงมากเท่าไหร่ ยิ่งกดดันให้ธนาคารกลางต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยในตัวเลขที่คาดไม่ถึงมากเท่านั้น สิ่งที่จะตามมาหากเกิดการขึ้นดอกเบี้ยเร็วเกินไปจะเหมือนกับปลาช็อคน้ำ กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะก้าวผ่านคำว่าชะลอตัว เข้าสู่ภาวะถดถอย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมหุ้นบางกลุ่มในปีนี้ถึงทำผลงานได้แย่มาก”

ในขณะที่กำลังเขียนบทความนี้ ราคาทองคำฟิวเจอร์สบนตลาด COMEX มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $1,837 ต่อออนซ์ ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาตลอดปี 0.5% สำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิค นักวิเคราะห์จาก ThinkMarkets ให้ความเห็นว่า

“ต้องรอดูก่อนว่าทองคำที่ขึ้นมายืนเหนือโซนราคา $1,828 - $1,830 จะสามารถรักษาสถานะของตัวเองเอาไว้บนแนวรับนี้ได้ตลอดหรือไม่ ส่วนแนวต้านระยะสั้น ผมให้เอาไว้ที่ $1,845 แต่ถ้าทองคำเกิดการทะยานขึ้นครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม แนวต้านนี้ก็อาจจะไม่สามารถรั้งราคาทองคำเอาไว้ได้”

อนึ่ง Sunil นั้นวิเคราะห์ทองคำเอาไว้ว่ามีแนวต้านอยู่ที่ $1,860, $1,880, $1,899 และ $1,900 ตามลำดับ

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย