ถึงแม้ว่าปี 2021 จะเป็นปีที่การลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าส่วนหนึ่งของความสำเร็จนี้มาจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของบริษัทเทคโนโลยี บริษัทที่โตอยู่แล้วก็ยิ่งโตมากขึ้นไปอีกจากการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค มาทำงานอยู่บ้าน ใช้เทคโนโลยีอย่างคอมพิวเตอร์ มือถือสมาร์ทโฟน เป็นสื่อกลางมากขึ้น
ปีนี้ผู้เชียวชาญหลายสำนักจะเห็นตรงกันว่าขาขึ้นตลอดสองปีที่ผ่านมาจะหมดลง เพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศชัดแล้วว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้แน่ รายงานสรุปการประชุมของธนาคารกลางฯ เมื่อคืนนี้ยิ่งตอกย้ำการใกล้สิ้นสุดของขาขึ้น และทำให้ดัชนีหลักของอเมริกาปรับตัวลดลงมา
ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่การเติบโตทางเทคโนโลยีของสหรัฐฯ มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เด็กรุ่นใหม่ให้ความสนใจกับการทำงานในบริษัทสายเทคฯ พวกเขาอยากเป็นส่วนหนึ่งของโลกยุคใหม่ และเราก็ได้เล็งเห็นหุ้นเทคฯ หลายตัวที่มีโอกาสเติบโต แต่ไม่สามารถซื้อได้ก่อนหน้านี้เพราะมีมูลค่าสูงเกินไป หุ้นของบริษัทเหล่านั้นได้ร่วงลงมาตามรายงานการประชุมฯ เมื่อคืน
หากคุณเป็นคนที่สนใจลงทุนในหุ้นสายเทคฯ แต่ไม่อยากลงทุนในหุ้นเทคฯ ชื่อดัง นี่คือบทความของคุณ หุ้นสองตัวต่อไปนี้คือบริษัทฯ ที่เรามองว่ามีอนาคตไกล มีศักยภาพที่จะเติบโตในอนาคต และตอนนี้มูลค่าของหุ้นก็ได้ลงมาอยู่ในจุดที่เหมาะสมแล้ว
1. Shopify
แพลตฟอร์ม e-commerce สัญชาติแคนาดา “ช็อปพิฟาย” (NYSE:SHOP) คือตัวเลือกที่ดีตัวแรกในความเห็นของเรา บนแพลตฟอร์มนี้ พ่อค้าแม่ขายจะได้พบกันเครื่องมือที่ครบครัน เตรียมพร้อมสำหรับการสร้างธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ช็อปพิฟายยังช่วยให้ผู้ที่มาสร้างร้านค้าบนแพลตฟอร์มสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้หลากหลายช่องทาง นับตั้งแต่ช็อปพิฟายถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อ 15 ปีก่อน พวกเขาได้ขายซอฟต์แวร์ให้กับผู้ที่สนใจเปิดร้านค้ามากกว่า 2 ล้านคน มีตั้งแต่ราคาขนาดย่อมเยาว์ $30 ขึ้นไปจนถึง $2,000 ต่อเดือน
วิกฤตโรคระบาดได้ช่วยให้ช็อปพิหายมียอดขายเพิ่มขึ้นจากปี 2019 ถึงปี 2020 ประมาณ 86% ในช่วงแบล็ค ฟรายเดย์ ที่ผ่านมา ช็อปพิฟายเผยข้อมูลว่าร้านค้าบนแพลตฟอร์มสามารถทำกำไรรวมกันได้มากถึง $6,300 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 23% จากปี 2020 สำนักข่าว EMarketer รายงานว่า ในปี 2020 ยอดขาย e-commerce ของช็อปพิฟายในสหรัฐอเมริกาคิดเป็นสัดส่วน 8.6% ถึงแม้ในภาพรวมช็อปพิฟายจะยังสู้ยักษ์ใหญ่อย่างแอมาซอน (NASDAQ:AMZN) ไม่ได้ แต่ก็พอจะเทียบชั้นกับวอลล์มาร์ท (NYSE:WMT) และอีเบย์ (NASDAQ:EBAY) ได้บ้าง
หุ้นช็อปพิฟายเมื่อวานนี้มีราคาปิดอยู่ที่ $1,190 ปรับตัวลดลงมาจากจุดสูงสุดตลอดกาลในเดือนพฤศจิกายน 32% แต่ขาลงนี้เรากลับมองว่าเป็นโอกาสเข้าซื้อสำหรับนักลงทุนระยะยาว นักวิเคราะห์ Investing.com ทั้งหมด 23 คนจาก 41 คนจัดอันดับให้หุ้นช็อปพิฟายอยู่ในระดับที่ “โดดเด่น” พร้อมทั้งให้ราคาเป้าหมายในรอบ 12 เดือนอยู่ที่ $1,679.14 สูงจากระดับราคาในตอนนี้ 41%
ที่มา: Investing.com
นอกจากนักวิเคราะห์ของ Investing.com แล้ว นักวิเคราะห์ของ Evercore ISI ก็ได้ปรับระดับความน่าลงทุนของหุ้นช็อปพิฟายขึ้นมาเป็น “โดดเด่น” ด้วยเช่นกัน พวกเขาให้เหตุผลว่า
“เหตุผลที่เรายกระดับความน่าลงทุนของหุ้นช็อปพิฟายมีอยู่ 3 ประการ หนึ่งคือไม่ต้องรับความเสี่ยงจากการมีหน้าร้านในโลกของความเป็นจริง สองคือสินค้าที่ขายบนช็อปพิฟายล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าปัจจัยพื้นฐาน และสามคือเทคโนโลยีเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง และมีโอกาสเติบโตได้ในอนาคต”
2. Pinterest
ขาลงของหุ้นของบริษัทผู้ให้บริการค้นหาภาพและไอเดีย ด้วยการปักหมุดภาพและวิดีโอที่สนใจ “พินเทอเรส” (NYSE:PINS) กลายเป็นตัวเลือกที่ดีหากจะเข้าซื้อในตอนนี้ หุ้นของพินเทอเรสต้องจมอยู่ในแนวโน้มขาลงมาตั้งแต่ช่วงกลางปีที่แล้ว โดยมีสาเหตุมาจากการกลับไปใช้ชีวิตตามปกติของผู้ใช้งาน ในปี 2021 หุ้นพินเทอเรสปรับตัวลดลงมามากกว่า 47% มีราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ $32.84 และยังวิ่งอยู่ในขาลงมาตลอดทั้งสัปดาห์แรกของปี 2022
เดิมทีพินเทอเรสได้ประโยชน์จากการล็อกดาวน์ทั่วโลก ที่เกิดจากการระบาดของโควิด ในตอนนั้นผู้คนอยู่บ้านและมองหาไอเดียตกแต่งบ้าน เช่น การตกแต่งห้อง จัดสวน และทำอาหาร แพลตฟอร์มผู้ให้ภาพและแนวคิดสำหรับกิจกรรม และโครงการทุกประเภท เป็นแหล่งข้อมูลในอุดมคติสำหรับสภาพแวดล้อมที่ต้องถูกบังคับให้อยู่บ้าน แต่ยอดผู้ใช้งานที่ลดลง ณ ตอนนี้ทำให้หุ้นพินเทอเรสมีราคาที่ถูกลง
ที่มา: Investing.com
นักวิเคราะห์จาก Investing.com 31 คนให้ความเห็นว่าหุ้นพินเทอเรสมีโอกาสจะปรับตัวขึ้นมากกว่า 68% ภายในระยะเวลาอีก 12 เดือนข้างหน้า ในขณะที่ Piper Sandler ได้ปรับระดับความน่าสนใจของหุ้นพินเทอเรสขึ้นจากปานกลางเป็นโดดเด่น แต่ก็ได้ปรับราคาเป้าหมายของหุ้นพินเทอเรสลงจาก $58 เป็น $53 ไปเปอร์ให้เหตุผลว่า
“เป็นความจริงที่พินเทอเรสกำลังเสียผู้ใช้งานไปอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์นี้เชื่อว่าจะสิ้นสุดลงในปี 2022 สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะพินเทอเรสไม่สามารถเข้าถึงผู้ใช้งานที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือได้ ในขณะที่ผู้ใช้งานอยู่เดิมก็ยังชื่นชอบการใช้งานพินเทอเรสต่อไป เราเชื่อว่ากำไรของพินเทอเรสจะกลับมาในช่วงไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 3 สำหรับหุ้นของบริษัทนั้นตอนนี้อยู่ในจุดที่ถูกเทขายลงมามากแล้ว มูลค่าหุ้นพินเทอเรสตอนนี้ถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกำไรที่เคยทำได้ในปี 2019 มากถึงหกเท่า”