ผลการศึกษาจากงานวิจัยหลายชิ้นระบุว่าในระยะยาว การลงทุนกับบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดเล็กมีแนวโน้มที่จะทำกำไรได้ดีกว่าบริษัทขนาดใหญ่ สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะบริษัทขนาดเล็กมีโอกาสที่จะก้าวขึ้นไปเป็นบริษัทขนาดใหญ่ได้ในอนาคต ในวงการลงทุน เรามีคำที่เรียกสิ่งนี้ว่า “ส่วนต่างทางกำไรจากบริษัทขนาดเล็ก” แต่ความเป็นจริงก็คือไม่ใช่ทุกปีที่บริษัทขนาดเล็กจะกลายเป็นยักษ์ใหญ่ได้
บริษัทขนาดเล็กยังมีข้อจำกัดหลายประการเมื่อเทียบกับบริษัทขนาดใหญ่ ตัวอย่างเช่น บริษัทขนาดเล็กมีทรัพยากรน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทที่ใหญ่ และมั่นคงกว่า เป็นผลให้การลงทุนในบริษัทขนาดเล็กมีความเสี่ยง และราคาหุ้นของพวกเขามักจะมีความผันผวนมากกว่า นอกจากนี้ ตัวบริษัทขนาดเล็กส่วนใหญ่ไม่สามารถจ่ายเงินปันผล จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกใจสำหรับผู้ที่ต้องการหารายได้แบบ passive-income
ในสหรัฐอเมริกา นิยามของบริษัทขนาดเล็กคือมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market cap) อยู่ในช่วงระหว่าง $150 ล้านเหรียญสหรัฐไปจนถึง $2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ดัชนีที่ใช้วัดภาพรวมของบริษัทจดทะเบียนขนาดเล็กคือรัสเซล 2000 ตลอดทั้งปี 2021 ดัชนีดังกล่าวปรับตัวขึ้นมาแล้วมากกว่า 11.5%
กองทุน ETF ที่ใช้อ้างอิงกำไรที่ได้จากการลงทุนในดัชนีรัสเซล 2000 โดยเฉพาะอย่าง iShares Russell 2000 ETF (NYSE:IWM) สามารถสร้างผลตอบแทนกลับคืนมา 11.3% ในขณะเดียวกัน กองทุน Vanguard Small-Cap Growth Index Fund ETF Shares (NYSE:VBK) ที่อ้างอิงราคาจากดัชนี CRSP US Small Cap Growth ก็ได้ปรับตัวขึ้นมา 3.5% ทั้งหมดนี้ เมื่อเทียบกับดัชนีชื่อดังอย่างเอสแอนด์พี 500 ที่ให้ผลตอบแทนกลับมา 23.8% ยังไม่สามารถสู้ได้เลย
สิ่งที่นักลงทุนควรทราบเอาไว้คือหลายกองทุน ETF ที่มักจะใช้คำว่า “ลงทุนในบริษัทขนาดเล็ก” ในบางครั้งพวกเขาก็เหมารวมบริษัทขนาดกลางเข้าไปด้วย อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เป็นบริษัทขนาดเล็ก ธุรกิจส่วนใหญ่จะยังคงเป็นการเน้นไปที่การหารายได้จากภายในประเทศ ด้วยข้อจำกัดทางด้านเงินทุน ดังนั้นดัชนีรัสเซล 2000 จึงสามารถเป็นตัวบ่งชี้การเติบโตของเศรษฐกิจภายในสหรัฐอเมริกาได้แม่นยำกว่าดัชนีอื่น
มอร์แกน สแตนลีย์ ธนาคารเพื่อการลงทุนชื่อดังกล่าวภาพรวมการลงทุนในปี 2022 เอาไว้ว่า
“วัฏจักรการลงทุนที่แข็งแกร่ง การมีสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้น และความต้องการที่อาจจะเกิดขึ้นได้ จะช่วยผลักดันการเติบโตของ GDPสหรัฐฯ ในปี 2022 ให้มาอยู่ที่ 4.6% … ในปีหน้าธนาคารกลางในตลาดที่พัฒนาแล้วมีแนวโน้มว่าจะไม่ดำเนินมาตรการรุนแรงที่เสี่ยงต่อการชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจ”
ในบทความนี้ เราจะพาไปทำความรู้จักกับสองกองทุน ETF ที่เน้นลงทุนกับหุ้นบริษัทขนาดเล็ก ให้นักลงทุนระยะยาวได้พิจารณาเป็นตัวเลือกสำหรับการลงทุนในปีหน้า
1. Invesco S&P SmallCap Value with Momentum ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $52.44
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $33.79 - $57.17
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 0.98%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.39% ต่อปี
กองทุนแรกที่เราอยากจะแนะนำมีชื่อว่า Invesco S&P SmallCap Value with Momentum (NYSE:XSVM) เป็นกองทุนที่ลงทุนใน 120 บริษัทจากดัชนี S&P SmallCap 600® Index กองทุนนี้ได้รับคะแนนมากที่สุด เกณฑ์การให้คะแนนมาจากกำไรที่สามารถทำได้จากอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) อัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อัตราส่วนราคาต่อการขาย (P/S) และระบบที่ให้คะแนนบริษัทโดยอ้างอิงจากความสามารถในการให้ผลตอบแทนตลอดระยะเวลาหนึ่งปี (Momentum Scores) XSVM เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2005
ปัจจุบัน XSVM ถือครองหุ้นบริษัทอยู่ทั้งหมด 121 ตัว อ้างอิงราคาจากดัชนี S&P 600 High Momentum Value Index เมื่อพิจารณาสัดส่วนการถือของหุ้น จะพบว่าสามารถแบ่งออกได้เป็นทั้งหมดสี่กลุ่ม หนึ่งคือกลุ่มการเงิน ด้วยสัดส่วนที่มากที่สุด 36.80% ตามมาด้วยกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย 16.44% กลุ่มอุตสาหกรรม 13.87% และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง 9.66%
หุ้นสิบอันดับแรกของกองทุนคิดเป็น 16% ของสินทรัพย์ทั้งหมด $486.7 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Veritiv (NYSE:VRTV) United Natural Foods (NYSE:UNFI) Group 1 Automotive (NYSE:GPI) Atlas Air Worldwide Holdings (NASDAQ:AAWW) และ Andersons (NASDAQ:ANDE)
XSVM มอบผลตอบแทนกลับคืนสู่นักลงทุนในปี 2021 มาแล้ว 48.2% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ไปในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมามากกว่า 10% มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 10.08x และ 1.41x ตามลำดับ หากต้องการลงทุนใน XSVM ควรรอให้ราคาปรับตัวลดลงมาวิ่งต่ำกว่า $50 จึงจะถือว่าปลอดภัย
2. Avantis US Small Cap Value ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $78.16
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $55.37 - $84.59
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 1.32%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.25% ต่อปี
กองทุนถัดมามีชื่อว่า Avantis® US Small Cap Value ETF (NYSE:AVUV) เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในบริษัทขนาดเล็กในสหรัฐอเมริกา ที่มีมูลค่าต่ำเมื่อเทียบกับโอกาสที่จะทำกำไรได้สูง กองทุนนี้เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2019
ปัจจุบัน AVUV ถือครองหุ้นบริษัทอยู่ทั้งหมด 682 ตัว อ้างอิงราคาจากดัชนี Russell 2000 Value Index เมื่อพิจารณาสัดส่วนการถือของหุ้น จะพบว่าสามารถแบ่งออกได้เป็นทั้งหมดห้ากลุ่ม กลุ่มการเงินนำมาเป็นอันดับหนึ่งด้วยสัดส่วนที่มากที่สุด 29.0% ตามมาด้วยกลุ่มอุตสาหกรรม 17.0% กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย 17.00%กลุ่มพลังงาน 15.0% และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง 7.0%
หุ้นสิบอันดับแรกของกองทุนคิดเป็น 7% ของสินทรัพย์ทั้งหมด $2,170 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Louisiana-Pacific (NYSE:LPX) PDC Energy (NASDAQ:PDCE), Matador Resources (NYSE:MTDR) SM Energy (NYSE:SM) และ Saia (NASDAQ:SAIA)
ในระยะเวลา 52 สัปดาห์ล่าสุด ราคาของกองทุน AVUV ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 36.3% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลไปในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนเช่นเดียวกับ XSVM ก่อนที่จะปรับตัวกลับลดลงมา 8% หากต้องการลงทุนใน AVUV ควรรอให้ราคาปรับตัวลดลงมาถึง $75 หรือต่ำกว่าจึงจะถือว่าเป็นจุดเข้าที่ดี