จากการรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสของสหรัฐฯ ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้มีบริษัท ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ที่คาดว่าจะสามารถเติบโตเหนือกว่าคาดการณ์ และจะสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม ความสนใจส่วนใหญ่ก็ยังคงรวมกันอยู่ที่มาร์เก็ตแคปของบริษัทยักษ์ใหญ่ อาทิ แอปเปิ้ล (NASDAQ:AAPL) แม็คโดนัลด์ (NYSE:MCD) แคทเธอร์พิลลาร์ (NYSE:CAT) และอเมซอน (NASDAQ:AMZN)
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายบริษัทที่คาดว่าจะสามารถมีรายได้เติบโตมั่นคงเพราะความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการที่เพิ่มขึ้น ในบทความนี้ เราจึงได้ยกชื่อบริษัท 3 แห่ง ที่ควรพิจารณาก่อนการรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ปี 2021 จะมาถึง
1. Diamondback Energy
วันรายงานผลประกอบการ: จันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน หลังจากตลาดหลักทรัพย์ปิดทำการ
คาดการณ์การเติบโตของ EPS: +345.1% YoY
คาดการณ์การเติบโตของผลกำไร: +111.1% YoY
พฤติกรรมการวิ่งของราคาตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน: +130.7%
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด: $20,200 ล้านเหรียญสหรัฐ
บริษัท Diamondback Energy (NASDAQ:FANG)สามารถทำกำไรได้เกิดคาดในไตรมาสที่แล้ว บริษัทผู้ทำธุรกิจหลักเกี่ยวข้องกับการสำรวจ พัฒนา และผลิตน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติและ LNG ยังมีการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า FANG จะสามารถทำกำไรต่อหุ้น (EPS) ได้ถึง 2.65 ดอลลาร์ มากกว่าสามเท่าจาก EPS ที่ 0.62 ดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนรายรับนั้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 111% เมื่อเทียบเป็นรายปีจะมีมูลค่าอยู่ที่$1,520 ล้านดอลลาร์ ได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวสูงขึ้น
นอกเหนือจากตัวเลขด้านบนและด้านล่างแล้ว นักลงทุนยังจับตาดูการเปลี่ยนแปลงของ Diamondback เกี่ยวกับเป้าหมายในเรื่องการผลิตในปีหน้าหลังจากเพิ่มขึ้น 36% ในไตรมาสที่ 2 นักลงทุนในตลาดต่างคาดหวังว่า Diamondback จะอัปเดตภาพรวมการทำงานตลอดทั้งปี ที่สะท้อนผลกระทบเชิงบวกจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ นักลงทุนกระตือรือร้นที่จะทราบว่า Diamondback มีแผนที่จะคืนเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นมากขึ้นและซื้อหุ้นคืนมากน้อยเพียงใด การจ่ายเงินปันผลของ FANG ในตอนนี้ให้ผลตอบแทนแก่นักลงทุนที่ $1.80 ต่อปีดอลลาร์คิดเป็น 1.65%
หุ้นของบริษัทมีราคาซื้อขายหลังจากปิดตลาดในวันอังคารที่ $111.69 ดอลลาร์ สร้างจุดสูงสุดตลาดกาลในรอบสามปีอยู่ที่ $114.73 ดอลลาร์เมื่อวันที่ 18 ต.ค. ปัจจุบัน Diamondback Energy มีมูลค่าตามราคาตลาดอยู่ที่ $2,020 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อนึ่ง บริษัท Diamondback Energy เป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในลุ่มน้ำเปอร์เมียน ปี 2021 ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่บริษัทเติบโตได้ดี หุ้นมีการเติบโตขึ้นเกือบ 131% ในปี 2021 ซึ่งเป็นผลมาจากตลาดพลังงานที่มีราคาเพิ่มสูงขึ้น
บริษัทอื่นที่น่าสนใจ : Exxon Mobil (NYSE:XOM), EOG Resources (NYSE:EOG), Occidental Petroleum (NYSE:OXY)
2. Digital Turbine
วันรายงานผลประกอบการ: อังคารที่ 2 พฤศจิกายน หลังจากตลาดหลักทรัพย์ปิดทำการ
คาดการณ์การเติบโตของ EPS: +160% YoY
คาดการณ์การเติบโตของผลกำไร: +332.4% YoY
พฤติกรรมการวิ่งของราคาตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน: +48.7%
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด: $8,800 ล้านเหรียญสหรัฐ
เพราะบริษัท Digital Turbine (NASDAQ:APPS) สามารถทำยอดขายและกำไรอย่างถล่มทลายได้ในไตรมาสที่แล้ว ดังนั้นตลาดลงทุนจึงคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรายงานผลประกอบการที่มีตัวเลขสามหลักได้ในรายงานผลประกอบการครั้งนี้ ที่สำคัญบริษัท Digital Turbine มีสถิติเอาชนะตัวเลขคาดการณ์จากนักวิเคราะห์วอลล์ สตรีทได้หกไตรมาสติดต่อกัน อันเป็นอานิสงส์มาจากความต้องใช้งานผลิตภัณฑ์ของ Digital Turbine อย่างมหาศาล
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ารายงานผลประกอบการแบบปีบัญชีในไตรมาสที่สองของ Digital Turbine จะมี EPS อยู่ที่ $0.39 เพิ่มขึ้น 160% จาก $0.15 ของช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว ส่วนตัวเลขผลกำไรนั้นคาดว่าจะออกมาอยู่ที่ $306 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นแบบปีต่อปี 330%
สิ่งที่นักลงทุนจะให้ความสนใจในรายงานผลประกอบการครั้งนี้คือกำไรที่มาจากยอดผู้ใช้งานแอปพลิเคชันว่าจะเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด ในไตรมาสที่แล้วตัวเลขส่วนนี้เพิ่มขึ้น 93% หรือคิดเป็น $120.3 ล้านเหรียญสหรัฐแบบปีต่อปี นอกจากนี้ นักลงทุนจะให้ความสำคัญกับภาพรวมการฝากโฆษณาบนแพลตฟอร์มมือถือ เหตุผลที่ประเด็นนี้สำคัญเพราะบริษัทแอปเปิลพึ่งจะปรับนโยบายความเป็นส่วนตัวใหม่ใน iOS14 สร้างผลกระทบต่อทุกบริษัทที่มีกำไรมาจากการฝากโฆษณา
หุ้นของ Digital Turbine มีราคาปิดในคืนวันอังคารอยู่ที่ $84.14 สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ที่ $102.37 ในวันที่ 2 มีนาคม ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่ $8,800 ล้านเหรียญสหรัฐ ตั้งแต่ต้นปี 2021 จนถึงปัจจุบัน ราคาหุ้นของ Digital Turbine ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 49% ทำให้บริษัทได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีการเติบโตเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน
บริษัทอื่นที่น่าสนใจ: Trade Desk (NASDAQ:TTD), HubSpot (NYSE:HUBS), Applovin (NASDAQ:APP)
3. MGM Resorts International
วันรายงานผลประกอบการ: พุธที่ 3 พฤศจิกายน หลังจากตลาดหลักทรัพย์ปิดทำการ
คาดการณ์การเติบโตของ EPS: +93.5% YoY
คาดการณ์การเติบโตของผลกำไร: +115.1% YoY
พฤติกรรมการวิ่งของราคาตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน: +49.9%
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด: $23,200 ล้านเหรียญสหรัฐ
บริษัทเจ้าของเครือโรงแรมผู้ให้บริการคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในลาส เวกัส MGM Resorts International (NYSE:MGM) จะรายงานผลประกอบการในวันพุธที่ 3 พฤศจิกายน หลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่าในไตรมาสนี้ MGM จะสามารถรายงานตัวเลขผลกำไรได้ $2,430 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 115% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะที่ตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นจะลดลงจาก $1.08 ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วลงไปเหลือ $0.07 ต่อหุ้น
ในรายงานผลประกอบการเมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา อัตราการเติบโตทางผลกำไรของบริษัทไม่สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ได้ แต่ด้วยการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ภาคการท่องเที่ยว และการเปิดตัวแอปพลิเคชันเพื่อการพนันอย่าง BetMGM จึงทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่าไตรมาสนี้จะเป็นไตรมาสที่สดใสสำหรับบริษัท MGM
สิ่งที่นักลงทุนจะให้ความสนใจในรายงานผลประกอบการครั้งนี้คืออัตราการเติบโตทางผลกำไรของบริษัท ซึ่งไตรมาสที่แล้วเติบโตขึ้นเกือบ 800% คิดเป็นเงิน $45,900 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากการเติบโตของกำไร นักลงทุนต้องการที่ทราบวิสัยทัศน์ของบริษัทที่มีต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจว่าจะสามารถสนับสนุนให้ MGM เติบโตได้อย่างไรในช่วงสองเดือนที่เหลืออยู่ และอาจได้ข้อมูลแนวทางการดำเนินงานในปีหน้าด้วย
ราคาหุ้นของ MGM เคยขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ที่ $49.11 แต่เมื่อวันอังคารก็ได้ปรับตัวลดลงมาวิ่งอยู่ที่ $47.24 ปี 2020 หุ้น MGM สามารถเอาตัวรอดมาได้จากวิกฤตโรคระบาด ส่วนปีนี้ หุ้น MGM ปรับตัวขึ้นมาแล้วประมาณ 50% ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นอานิสงส์จากความมั่นใจในการท่องเที่ยว และเงินที่ได้จากรัฐบาลก็ถูกนำมาอัดฉีดต่อในเครือโรงแรมคาสิโนแห่งนี้
บริษัทอื่นที่น่าสนใจ: Caesars Entertainment (NASDAQ:CZR), Red Rock Resorts (NASDAQ:RRR), Hilton Grand Vacations (NYSE:HGV)