หากจะพูดว่าขาขึ้นในตลาดลงทุนเป็นเหมือนสารเสพย์ติดประเภทหนึ่งก็คงจะไม่ผิดนัก นี่คือยากล่อมประสาทที่ล่อลวงผู้คนเข้ามาในตลาดโดยโกหกว่าทุกคนที่เข้ามาจะได้กำไรกลับออกไป ในช่วงตลาดกระทิง เรามักจะได้เห็นนักลงทุนผู้ตามเทรนด์ในตลาดหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ และสินทรัพย์ทุกประเภทดีใจเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่การถือกำเนิดของสกุลเงินดิจิทัลยิ่งทำให้ผู้คนเสพย์ติดความสำเร็จเข้าไปใหญ่ ตำนานการลงทุนในบิทคอยน์ด้วยเงิน $100 ในปี 2010 แล้วสามารถกลายเป็น $114 ล้านเหรียญได้ในวันนี้ยังคงเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักลงทุนและนักเก็งกำไรเข้ามาในตลาดอยู่เสมอ
การขึ้นเร็วลงแรงในตลาดแห่งนี้ถือเป็นเรื่องปกติมาก แม้แต่ขาขึ้นครั้งล่าสุดในเดือนกันยายนก็ไม่เว้น ขาขึ้นครั้งนั้นได้ส่งมูลค่าของตลาดสกุลเงินดิจิทัลกลับมายืนเหนือ $2 ล้านล้านเหรียญได้อีกครั้งในวันที่ 12 ตุลาคม
ที่มา CoinMarketCap
กราฟนี้แสดงให้เห็นว่าบิทคอยน์และอีเธอเรียมยังคงคิดเป็น 64.4% ของมูลค่าตลาดสกุลเงินดิจิทัลและจำนวนเหรียญทั้งหมด 12,642 เหรียญ จำนวนเหรียญเหล่านี้ยังคงเพิ่มขึ้นทุกวันไม่ว่ามูลค่าของโลกสกุลเงินดิจิทัลจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ตาม สะท้อนให้เห็นความต้องการสกุลเงินดิจิทัล ไม่ว่ารัฐบาลจะชอบหรือไม่ก็ตาม
อย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้ว่าธรรมชาติของตลาดสกุลเงินดิจิทัลคือการขึ้นเร็วและลงแรง รูปด้านล่างนี้คือหลักฐานที่ยืนยันคำพูดนั้น เมื่อบิทคอยน์สามารถขึ้นมาสร้างจุดสูงสุดในเดือนเมษายนได้ ก็สามารถร่วงลงได้อย่างรวดเร็วหลังจากนั้นไม่ถึงเดือน แท่งเทียนรูปแบบดาวตกในรูปนั้นมีความรุนแรงเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับตลาดลงทุนอื่นๆ
ที่มา: CQG
กราฟรูปนี้แสดงการขึ้นไปยังจุดสูงสุด $65,520 ในวันที่ 14 เมษายน ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมาทำจุดต่ำสุดที่ $28,800 ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน เท่ากับว่าในช่วงนั้นบิทคอยน์ปรับตัวลดลงมามากกว่า 56%
ที่มา: CQG
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง สกุลเงินอันดับสองอย่างอีเธอเรียมก็ขึ้นเร็วลงแรงไม่แพ้กัน อีเธอเรียมขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดที่ $4,406.50 ในวันที่ 10 พฤษภาคม ก่อนที่จะร่วงลงมาทำจุดต่ำสุดที่ $1,697.75 ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน คิดเป็นการปรับตัวลดลงทั้งหมด 61.5%
ท่ามกลางช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ มักจะมีนักลงทุนแบ่งออกเป็นสองกลุ่มอยู่เสมอ กลุ่มแรกคือกลุ่มที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังลงทุนอยู่คืออะไร เมื่อเจอขาลงอย่างรุนแรงเช่นนี้ พวกเขามักจะโทษตลาด แทนที่จะโทษตัวเอง โทษว่าที่แห่งนี้คือสถานที่หลอกลวง และออกจากตลาดไป แต่ในขณะเดียวกัน นักลงทุนอีกกลุ่มที่มีความรู้ความเข้าใจดีจนถึงขั้นสามารถยอมรับความเสี่ยงได้แล้ว จะมองว่านี่คือโอกาสทองที่จะได้ถือสกุลเงินที่ตัวเองหวังในราคาที่ถูกลง
ในขณะเดียวกันก็จะมีนักลงทุนอีกสองกลุ่มปรากฎขึ้นมา แม้ว่าสองกลุ่มนี้จะมีความเหมือนกันคือไม่เข้าข้างทั้งสองฝ่ายก่อนหน้านี้ แต่พวกเขาก็มีความแตกต่างในแง่ของการกระทำอยู่พอสมควร กลุ่มหนึ่งยังเชื่อมั่นในสกุลเงินดิจิทัลหลัก แต่ยังไม่พร้อมจะรับความเสี่ยง นักลงทุนกลุ่มนี้จะเลือกที่จะรอดูอยู่เฉยๆ จนกว่าจะแน่ใจว่าสัญญาณของพวกเขาได้กลับมาอีกครั้ง แต่อีกกลุ่มหนึ่งจะมองว่าการรอนั้นเสียเวลา และยินดีที่จะออกสู่โลกกว้างไปตามหาสกุลเงินดิจิทัลที่คาดว่าจะเป็น “นิวบิทคอยน์” และ “นิวอีเธอเรียม”
การตามหาสกุลเงินใหม่ที่อาจจะเป็นความหวังในอนาคต นั้นเป็นดาบสองคม ถ้าโชคดีสกุลเงินนั้นสามารถมีอนาคตได้จริง คุณก็สามารถทำกำไรได้ตั้งแต่เนิ่นๆ แต่ถ้าโชคร้าย เจอสกุลเงินที่มีดีแต่วาทะศิลป์ ก็มีโอกาสสูงมากที่จะสูญเงินไปเปล่าๆ กับอนาคตที่เลื่อนลอย ในภาษาไทยมีสุภาษิตอยู่คำหนึ่งว่า “ถ้าไม่เข้าถ้ำเสือ ก็ไม่ได้ลูกเสือ” เหมือนกับการที่ถ้าไม่เก็งกำไร ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเหรียญแห่งอนาคตหรือไม่ ไหนๆ ก็จะเสี่ยงแล้วเราขอแนะนำสกุลเงินดิจิทัล MilliMeter (MM) และ Flokinomics (FLOKIN) ที่อาจจะกลายเป็นดาวดวงใหม่ของวงการ
สกุลเงินอันดับที่ 2,995: MilliMeter
MilliMeter เป็นแพลตฟอร์มสกุลเงินดิจิทัลที่อ้างว่าตัวเองสามารถปกป้องข้อมูลอีเล็กทรอนิกส์ของลูกค้าทั่วโลกได้ บนพื้นที่แห่งนี้ผู้ใช้งานสามารถแชร์และปกป้องข้อมูลของตัวเองแบบมีลิขสิทธิ์ ปัจจุบัน MilliMeter มีโทเค็นที่เป็นซัพพลายรวมแล้วทั้งหมดสองพันล้านโทเค็น
ที่มา: CoinMarketCap
ในวันที่ 12 ตุลาคม 2021 สกุลเงินดิจิทัล MilliMeter ถูกจัดอันดับให้อยู่ในเหรียญลำดับที่ 2,995 โดย CoinMarketCap มีราคาเพิ่มขึ้นสองเท่าจากเดือนพฤศจิกายนปี 2020 ที่ 24.41 เป็น 48 เซ็นต์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา MM พึ่งจะสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ที่ $9.54 ก่อนที่จะร่วงกลับลงมาอย่างรวดเร็ว เป็นไปตามกฎธรรมชาติของโลกสกุลเงินดิจิทัล
สกุลเงินอันดับที่ 2,853: Flokinomics
Flokinomics หรือ FLOKIN เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ถูกสร้างขึ้นมาตามชื่อสุนัขของนายอีลอน มัสก์ CEO คนเก่งของบริษัทเทสลา เจ้าสุนัขตัวนี้มีชื่อว่า “Floki” เป็นสุนัขสายพันธุ์ชิบะอินุ รันอยู่บนสมาร์ทเชนของไบแนนซ์ (BSC) ในวงการคริปโต พวกเขามักจะเรียกเหรียญประเภทนี้ว่า “เหรียญมีม” (Meme) หรือเหรียญที่เกิดขึ้นมาเพื่อล้อเลียน หรือเป็นสัญลักษณ์ให้กับบางสิ่งบางอย่าง นักลงทุนบางคนว่ากันว่าเหรียญ Floki อาจจะเป็น “นิวโดจคอยน์”
ที่มา: CoinMarketCap
FLOKIN เปิดเริ่มต้นให้เทรดในวันที่ 3 ตุลาคมปี 2021 มีราคาซื้อขายเริ่มแรกอยู่ที่ $0.00000000323 ต่อหนึ่งโทเค็น สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ในวันที่ 10 ตุลาคม ณ $0.0002283 ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมายัง $0.00017 ในวันที่ 12 ตุลาคม
ถึงแม้ว่าทั้งสองสกุลเงินนี้จะพึ่งเกิดได้ไม่นาน และยังเต็มไปด้วยความเสี่ยงอยู่พอสมควร แต่เมื่อบิทคอยน์กลับเข้าสู่โหมดขาขึ้นแล้ว สกุลเงินทางเลือกเหล่านี้มีสิทธิ์ที่จะปรับตัวขึ้นตามอย่างที่สกุลเงินทางเลือกอื่นๆ เป็น อย่างไรก็ตาม อย่างที่ผมได้เตือนไปในหลายๆ บทความแล้วว่าสกุลเงินเกิดใหม่เหล่านี้มีความเสี่ยงสูง จงอย่าฝากทั้งชีวิตไว้กับมัน บริหารความเสี่ยงให้ดี ใช้เงินเย็นลงทุน ในอดีตมีเหรียญมากมายที่เคยถูกขนานามไว้ว่าจะเป็นอนาคตของโลกสกุลเงินดิจิทัล แต่ปัจจุบันก็หายไปราวกับทรายเม็ดหนึ่งบนหาดที่ไม่มีใครพูดถึงอีกต่อไป