ภาพรวมตลาดพลังงานที่ทำให้นักลงทุนงงเป็นไก่ตาแตกกันในเวลานี้คือทั้งๆ ที่ราคาน้ำมันขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบสี่ปี และก๊าซธรรมชาติสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่ $6 mmBtu ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2014 แต่ทำไมตัวเลขการขุดน้ำมันจากหินน้ำมันของสหรัฐอเมริกากลับไม่ได้ปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมัน?
หากเอาคำถามนี้ไปถามกับเหล่าบริษัทผู้ผลิตน้ำมัน สิ่งที่นักลงทุนจะได้คำตอบกลับมาคือเป็นกลยุทธ์ของเหล่าผู้ประกอบการที่วางแผนเอาไว้แล้วว่าจะคงระดับการผลิตเอาไว้ ณ ตรงนี้เพื่อเพิ่มเปอร์เซ็นต์การปันผลให้กับผู้ถือหุ้น หากทำเช่นนั้นก็จะยิ่งทำให้มีคนสนใจหุ้นของตัวเองมากขึ้น และบริษัทก็จะได้กำไรมากขึ้น คำตอบนี้เป็นความจริง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
ในบทความที่ดิฉันเคยเขียนเกี่ยวกับผลสำรวจของธนาคารกลางแห่งดัลลัส ตอนนั้นบทความเคยระบุว่ามีสี่ปัจจัยที่จะทำให้บริษัทผู้ผลิตน้ำมันตัดสินใจไม่ผลิตน้ำมันเพิ่ม หนึ่งคือการหดตัวของอุตสาหกรรม สองคือความสามารถในการเข้าถึงระบบการเงิน สามคือการคาดการณ์ตลาดในเชิงลบ และสี่คือความยุ่งยากของข้อกฎหมาย แต่ล่าสุดเราได้ข้อมูลมาจากธนาคารกลางแห่งเดิมว่านอกจากสี่ปัจจัยที่เคยพูดถึงไป ปัจจุบันต้องเพิ่มเข้าไปอีกสามข้อ มีอะไรบ้าง? ในบทความนี้จะพาไปดู
1. กำลังการผลิตไม่ได้รับผลกระทบจากการคาดการณ์ราคาน้ำมัน
ผลสำรวจเปิดเผยข้อมูลว่าความแตกต่างระหว่างไตรมาสที่หนึ่งและสองที่ใหญ่ที่สุดคือการปรับตัวเลขคาดการณ์ในตลาดพลังงาน บริษัทผู้ผลิตและสำรวจแหล่งพลังงานในเดือนมีนาคมเคยมีมุมมองเชิงลบเกี่ยวกับราคาน้ำมันในปีนี้ ณ ตอนนั้นราคาน้ำมันดิบ WTI ยังมีราคาซื้อขายอยู่ที่ $61 ต่อบาร์เรล และนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในตอนนั้นก็เชื่อว่าราคาน้ำมันจะต้องปรับตัวลดลงไปจนถึงเดือนธันวาคมปี 2021 แต่ก็อย่างที่เห็น...ราคาน้ำมันดิบ WTI ในตอนนี้มีราคาอยู่ที่ $75 ต่อบาร์เรลโดยประมาณ
ข้อมูลจากผลสำรวจยังเปิดเผยอีกว่า 64% ของนักวิเคราะห์เหล่านั้นที่เคยคาดการณ์ว่าจะลงไปที่ $61 ต่อบาร์เรล ตอนนี้กลับคำพูดเปลี่ยนเป้าหมายเป็น $65 - $75 ต่อบาร์เรลภายในสิ้นเดือนธันวาคมปี 2021 กันหมดแล้ว ซึ่งในความเป็นจริง กำลังการผลิตน้ำมันค่อยๆ เพิ่มขึ้นมานับตั้งแต่เดือนมีนาคม
สำนักบริหารสารสนเทศพลังงานของสหรัฐอเมริกา (EIA) เคยให้ข้อมูลว่ากำลังการผลิตน้ำมันในช่วงสิ้นเดือนมีนาคมปี 2021 มีปริมาณอยู่ที่ 11.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน และข้อมูลล่าสุดจาก EIA เผยว่ากำลังการผลิตในช่วงสิ้นเดือนสิงหาคมมีตัวเลขเพิ่มขึ้นจากมีนาคมเพียง 400,000 บาร์เรลต่อวันเท่านั้น ต้องออกตัวก่อนว่าข้อมูลนี้เปิดเผยก่อนที่พายุเฮอริเคนไอดาจะเข้าถล่มฐานการผลิตน้ำมันใหญ่ของอเมริกาที่อ่าวเม็กซิโก
ที่ผ่านมาพวกเราเชื่อมาตลอดว่าสาเหตุที่น้ำมันจากหินน้ำมันถูกสกัดออกมาได้ยากเป็นเพราะมีขั้นตอนทางเทคนิคที่ยุ่งยาก และใช้ต้นทุนสูง ความเชื่อเหล่านี่อาจจะเป็นความจริง แต่ในยุคปัจจุบัน ในปี 2021 ความจริงเหล่านั้นอาจจะเปลี่ยนไปนานแล้ว แต่คนในวงการไม่อยากบอกคนภายนอกเพราะกลัวว่าจะถูกแย่งตลาด เลยปล่อยให้เชื่อกันแบบนี้ต่อไปก็เป็นได้
2. ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นเป็นอุปสรรคใหม่ที่ขวางกั้น...จริงหรือ?
หลังจากที่ข้อมูลในข้อที่ 1 เปิดเผยออกมา บริษัทผู้ผลิตน้ำมันหลายแห่งก็ได้ออกมาตอบโต้ผลสำรวจนี้ พวกเขาอ้างว่าสาเหตุที่ไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้เพราะราคาต้นทุนของราคาพลังงานและอุปกรณ์มีราคาแพงขึ้น 39% ของบริษัทผู้ผลิตกล่าวว่าพวกเขามีปัญหาในการจ้างคนงานเนื่องจากผู้ที่ถูกว่าจ้างต้องการค่าแรงที่แพงขึ้น นโยบายพลังงานสะอาดของโจ ไบเดน และการสั่งปิดท่อส่งน้ำมันล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อราคาต้นทุนของพวกเขาทั้งสิ้น
สำหรับนักลงทุน สิ่งที่ต้องรู้เอาไว้ก็คือเวลาบริษัทผู้ผลิตน้ำมันกล่าวว่าพวกเขาจะได้กำไรมากขึ้นก็ต่อเมื่อได้ขุดเจาะในบ่อน้ำมันแห่งใหม่ ข้อความนี้ไม่ได้หมายความว่าเมื่อได้มาแล้วพวกเขาจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันมากขึ้น ในเดือนมีนาคมมีรายงานจากบริษัทผู้ผลิตว่าพวกเขาจะสามารถทำกำไรได้จากทุกบ่อน้ำมันในสหรัฐฯ ก็ต่อเมื่อราคาน้ำมันดิบ WTI มีราคาสูงกว่า $58 ต่อบาร์เรล
ซึ่งในความเป็นจริงพวกเราก็เห็นกันหมดว่าราคาน้ำมันดิบไม่เพียงสามารถยืนเหนือ $58 ต่อบาร์เรลได้นับตั้งแต่วันนั้น แต่ยังสามารถปรับตัวขึ้นยืนเหนือ $75 ต่อบาร์เรลได้อย่างมั่นคงอีกด้วย นั่นหมายความว่าต่อให้บริษัทผู้ผลิตเหล่านี้ได้บ่อขุดน้ำมันใหม่ พวกเขาก็อาจจะไม่ต้องการขุดเพิ่มอยู่ดี
3. ขาดเงินทุนจากผู้สนับสนุน
ธุรกิจขับเคลื่อนด้วยเงินทุนเช่นใด การขุดน้ำมันก็เป็นไปเช่นนั้น การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้นายทุนตัดสินใจไม่สนับสนุนด้านการเงินต่อ เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น การที่จะไปตามนายทุนเจ้าเดิมหรือคนเดิมให้กลับมานั้นกลายเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้น เพราะพวกเขามีอาจจะมีตัวเลือกใหม่ที่ดีกว่า ประกอบกับนโยบายพลังงานสะอาดของโจ ไบเดนที่สนับสนุนพลังงานรูปใหม่แบบมากกว่ายิ่งทำให้บริษัทผู้ผลิตเหล่านี้ประสบปัญหาด้านการเงินมากยิ่งขึ้น
ในความเป็นจริง กว่าวันที่โลกจะเปลี่ยนไปเป็นพลังงานแบบ 100% ได้นั้นคงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายในวันสองวัน หรือปีสองปีนี้ นักวิเคราะห์บางคนจึงเชื่อว่าเมื่อวิกฤตโควิดกลายเป็นโรคประจำถิ่นไป นักลงทุนที่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องการกำไรที่จับต้องได้ในทันทีก็จะกลับมาลงทุนในพลังงานดั้งเดิม สิ่งที่นักลงทุนสามารถทำได้ในตอนนี้คือการเฝ้ารออย่างใจเย็น หาบริษัทพลังงานที่สนใจ และรอวันที่จะขึ้นรถไฟแห่งการเติบโตไปพร้อมกับพวกเขา