และแล้วเราก็เดินทางมาถึงสัปดาห์สุดท้ายของไตรมาสที่สาม ซึ่งเดือนกันยายนในปีนี้ก็ยังเป็นอีกกันยายนหนึ่งที่พิสูจน์ว่าหินที่สุดเมื่อเทียบกับเดือนอื่นๆ ตลาดลงทุนยังคงได้รับแรงกดดันจากข่าวบริษัทอสังหาริมทรัพย์นักษ์ใหญ่ “เอเวอร์แกรนด์” (HK:3333) (OTC:EGRNY) ที่ผิดนัดชำระหนี้อีกครั้งในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนในตลาด
ความกังวลเกี่ยวกับบริษัทเอเวอร์แกรนด์ว่าจะไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดเคยทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงมาแล้วในวันจันทร์ที่ผ่านมา ก่อนที่ตลาดจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ในวันพฤหัสบดี เอสแอนด์พี 500 และดาวโจนส์ยังสามารถเอาตัวรอดเมื่อวันศุกร์ด้วยการปิดตลาดเป็นบวก ในขณะที่แนสแด็กทำได้เพียงประคองตัวเท่านั้น และอีกเช่นเคยที่เราได้หยิบเอาหุ้นสามตัวที่น่าสนใจในสัปดาห์นี้มาฝากกัน
1. Micron Technology
บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ “ไมครอน เทคโนโลยี” (NASDAQ:MU) จะรายงานผลประกอบการแบบปีบัญชีของไตรมาสที่สี่ปี 2021 ในวันอังคารที่ 28 กันยายน หลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าไมครอน เทคโนโลยีจะสามารถทำกำไรได้ $8,230 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $2.33
ในไตรมาสที่แล้ว บริษัทไมครอน เทคโนโลยีสามารถประเมินตัวเลขกำไรได้ตรงกันกับตัวเลขที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ สะท้อนให้เห็นความต้องการชิปเซมิคอนดักเตอร์เพื่อใช้ในคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือที่ยังคงแข็งแกร่ง ราคาหุ้นล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมามีตัวเลขอยู่ที่ $74.05 ตลอดทั้งปีราคาหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย
นาย Sanjay Mehrotra ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัทไมครอนกล่าวในเดือนมีนาคมว่าความต้องการชิปประมวลผลยังแข็งแกร่ง ในขณะที่ความสามารถในการผลิตชิปยังคงมีจำกัดไปจนถึงปีหน้า ในโลกยุคปัจจุบันที่ความต้องการชิปไม่ได้หยุดอยู่แค่เพียงโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ การมาถึงของโลกยุค IoT ที่ทุกสิ่งทึกอย่างต้องสามารถเชื่อมต่อกับมือถือได้ยิ่งทำให้การขาดแคลนชิปมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น
2. Bed Bath & Beyond
บริษัทค้าปลีกเครื่องใช้ในบ้านยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ “เบด บาธ แอนด์ บียอนด์ (บีบีแอนด์บี)” (NASDAQ:BBBY) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2021 ในวันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน หลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขกำไรในปีนี้จะอยู่ที่ $2,060 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.52
บีบีแอนด์บีกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านและเอาตัวรอดหลังจากไม่สามารถปรับตัวเข้าสู่โลก e-cpmmerce ได้ทันก่อนการแพร่ระบาด เพื่อที่จะชดเชยกำไรที่หายไป บีบีแอนด์บีจึงได้ลองเสี่ยง ออกจากธุรกิจที่ตัดเองถนัด หันไปลงทุนกับธุรกิจอื่นที่มีแนวโน้มว่าจะเติบโตได้ในยุคดิจิทัล พร้อมกับนั้นบีบีแอนด์บีได้ปิดสาขาที่ทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน และโปรโมทเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีขายที่บีบีแอนด์บีเท่านั้น
แม้ว่าบีบีแอนด์บีเคยปีคาดการณ์ว่ายอดขายในปีนี้จะเพิ่มขึ้น แต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทก็ได้ยอมรับว่ายอดขายในไตรมาสที่หนึ่งนั้นหดตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ราคาหุ้นของบีบีแอนด์บีได้ปรับตัวขึ้นมาแล้วมากกว่า 40% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $22.95 สาเหตุที่หุ้นบริษัทยังสามารถปรับตัวขึ้นได้เป็นเพราะในไตรมาสที่ผ่านมา บีบีแอนด์บีได้มีการเปิดแบรนด์ลูกเพิ่มขึ้นมาอีกสามแบรนด์ เรียกความเชื่อมั่นก่อนการรายงานผลประกอบการครั้งนี้ได้อยู่พอสมควร
3. Toast
บริษัทน้องใหม่ที่พึ่งถูกลิสต์ขึ้นตลาดหุ้นนิวยอร์ก “โทสต์” (NYSE:TOST) จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษในสัปดาห์นี้เนื่องจากพึ่ง IPO เข้าตลาดหุ้นเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โทสต์เป็นบริษัทที่ทำฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เฉพาะร้านอาหารเท่านั้น หมายความว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีความเข้าใจปัญหาที่ร้านอาหารประสบเหมือนกัน และสามารถแก้ปัญหาให้กับลูกค้าของพวกเขาได้
ในวันพุธที่ 22 กันยายน หุ้นของบริษัทโทสต์มีราคาเปิดตลาดอยู่ที่ $65.26 ปรับตัวขึ้นมา 63% จากราคาเสนอซื้อในตอนแรกที่ $40 ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ระบุว่าทันทีที่เปิด IPO หุ้นของโทสต์ก็สามารถขายได้มากถึง 21.7 ล้านหุ้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ปรับตัวขึ้นในตอนแรก ราคาหุ้นของโทสต์ก็ได้ปรับตัวลดลง 15% มาตามแนวโน้มหลักในตลาดหุ้น มีราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ $55.78 อนึ่ง ซอฟต์แวร์ของโทสต์ทำให้ลูกค้าสามารถสั่งออเดอร์ออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือได้ และร้านค้าที่เข้าร่วมกับโทสต์จะได้สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลลูกค้าที่อยู่ในระบบเครือข่ายของโทสต์ด้วยเช่นกัน