เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์แห่งตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเตือนเอาไว้จริงๆ ว่าเดือนกันยายนของทุกๆ ปีไม่เคยเป็นงานง่ายสำหรับนักลงทุนเลย ตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนมาจนถึงวันนี้ ดัชนีหลักของสหรัฐฯ อย่างเช่นดาวโจนส์ปรับตัวลดลงไปแล้ว 2.2% ในขณะที่เอสแอนด์พี 500สร้างขาลง 2.0% แม้แต่ดัชนีที่เติบโตมากที่สุดในปีที่แล้วอย่างแนสแด็ก 100 ก็ยังปรับตัวลดลง 1.1%
เพื่อหลีกเลี่ยงช่วงเวลาแห่งขาลงในตลาดหุ้น นักลงทุนจึงได้โยกเงินหนีออกมา และหาสถานที่แห่งใหม่เพื่อวางเงินพักความเสี่ยงจากขาลงเอาไว้ก่อน ในบทความนี้ เราจึงมาแนะนำกองทุน ETF ที่อาจเป็นตัวเลือกให้ถือครองเพื่อผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปให้ได้
1. Invesco S&P 500 High Dividend Low Volatility ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $43.50
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $31.77 - $46.49
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 3.78%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.30% ต่อปี
กองทุน ETF Invesco S&P 500 High Dividend Low Volatility (NYSE:SPHD) เป็นกองทุนที่ถือครองหุ้น 51 ตัวบนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ความผันผวนต่ำและมีอัตราการปันผลสูงที่สุดบนดัชนี กองทุนนี้เริ่มเปิดให้ลงทุนตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2012 มีการรีบาลานซ์และปรับโครงสร้างพอร์ตการลงทุนในทุกๆ ครึ่งปี หุ้นสิบอันดับแรกที่กองทุนนี้ถือครองคิดเป็น 28% ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มีเกือบ $3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
SPHD แบ่งสัดส่วนการถือครองออกเป็นสี่กลุ่มหลักๆ กลุ่มแรกคือสาธารณูปโภค (19.59%) ถัดมาคือกลุ่มสินค้าจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต (19.20%) กลุ่มเฮลท์แคร์ (10.78%) และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (8.82%) หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้คือครองได้แก่ Iron Mountain (NYSE:IRM) Altria (NYSE:MO), PPL (NYSE:PPL) AT&T (NYSE:T) และ The Williams Companies (NYSE:WMB)
ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน SPHD ได้สร้างจุดสูงสุดใหม่เอาไว้เมื่อเดือนพฤษภาคม คืนกำไรสู่ผู้ถือครองแล้ว 16% มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 13.48x และ 2.54x ตามลำดับ หากต้องการจุดเข้าที่ดี บริเวณนี้ถือเป็นจุดเข้าที่เหมาะสม
2. Nationwide Risk-Managed Income ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $28.40
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $25.34 - $28.93
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 7.47%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.68% ต่อปี
กองทุนถัดมาที่อยากจะแนะนำคือ Nationwide Risk-Managed Income ETF (NYSE:NUSI) เป็นกองทุนที่เริ่มต้นเทรดในเดือนธันวาคมปี 2019 มีสินทรัพย์ภายใต้การดูแลเกือบ $390 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป้าหมายของกองทุนนี้คือสร้างกำไร ลดความผันผวนและความเสี่ยง กลยุทธ์การลงทุนที่กองทุนนี้ใช้จะเป็นแบบเดียวกับการลงทุนในตลาดออปชั่น มีการทำ covered call และ protective puts เป็นต้น
หุ้นที่ NUSI เลือกถือครองล้วนเป็นอยู่ที่สังกัดอยู่บนดัชนีแนสแด็ก 100 กองทุนนี้ทำ covered call กับหุ้นบนดัชนีดังกล่าวเพื่อเก็บค่าพรีเมียม นอกจากนี้ยังมีการทำกำไรจากค่า Strike Price และมีการทำกำไรจากสถานการณ์เมื่อราคาตลาดของสินค้าอ้างอิงเท่ากับหรือใกล้เคียงกับราคาใช้สิทธิ (ATM) และช่วงสถานภาพที่ผู้ถือออปชั่นจะไม่ใช้สิทธิอย่างแน่นอน เพราะถ้าใช้สิทธิไปก็มีแต่จะขาดทุน (OTM)
ผลตอบแทนของ NUSI ในรอบ 12 เดือนล่าสุดมีตัวเลขอยู่ที่ 7.46% หากนักลงทุนถือครองกองทุนนี้จนผ่านระยะเวลา 12 เดือนไปได้ ก็จะได้รับเงินปันผลในจำนวนนี้แน่นอน โดยปกติแล้ว NUSI จะจ่ายเงินปันผลจากกำไรที่ได้ในการทำคอลออปชัน
อีกหนึ่งวิธีที่ NUSI ใช้คานความเสี่ยงในกรณีที่หุ้นถือครองปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วคือการซื้อ OTM ปกป้องความเสี่ยงจากการทำพุทออปชันบนดัชนีแนสแด็ก 100 วิธีนี้จะช่วยรับประกันความเสี่ยงไปจนกว่าสัญญาออปชันนั้นๆ จะหมดอายุ กลยุทธ์แบบนี้เหมาะมากกับช่วงเวลาที่ตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลง อย่างเช่นช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีที่แล้ว
ถึงตรงนี้ เราสามารถกล่าวได้ว่ากองทุน NUSI เป็นกองทุนสายป้องกันความเสี่ยงจากตลาดหุ้น แต่มีกลยุทธ์ในการทำกำไรคืนจากตลาดออปชัน นักลงทุนสามารถถือกองทุน NUSI เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ และแม้จะให้ผลตอบแทนน้อย แต่ก็ยังถือว่าสามารถพาพอร์ตการลงทุนให้รอดพ้นวิกฤตไปได้ ในขณะที่กองทุนอย่าง Invesco QQQ Trust (NASDAQ:QQQ) ยังอยู่ในช่วงขาลง แต่ NUSI ในปีนี้สามารถปรับตัวขึ้นมาแล้ว 3.3%
แน่นอนว่าในช่วงที่ตลาดลงทุนเป็นขาขึ้น การทำกำไรของ NUSI คงจะไม่สามารถเทียบเคียงกับ QQQ ได้แต่ในช่วงขาลง ช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง NUSI คือที่ที่นักลงทุนสามารถสะสมกำลังทรัพย์ เพื่อกลับไปสู้ใหม่ในช่วงที่ตลาดหุ้นหรือดัชนีแนสแด็ก 100 กลับมาเป็นขาขึ้น ดังนั้นสำหรับนักลงทุนที่มองว่าอีกไม่นานตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเข้าสู่ช่วงขาลง NUSI อาจเป็นตัวเลือกสำหรับคนที่ต้องการทำกำไรอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มนักลงทุนผู้เกษียณอายุ