การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้เราได้เห็นว่าประเทศที่ร่ำรวยและประเทศที่ยากจนมีความสามารถในการต่อการกับภัยพิบัติโรคระบาดนี้ได้ดีแค่ไหน สำหรับประเทศที่ยากจน การจะได้มาซึ่งวัคซีนแต่ละเข็มนั้นยากเย็นเหลือคณานับ ในขณะที่ประเทศที่ร่ำรวย พวกเขาสามารถเดินออกไปฉีดวัคซีนได้เหมือนกับการเดินไปร้านสะดวกซื้อ แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างนี้เกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญความความสามารถในการอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
เพื่อต่อการกับโรคระบาด อเมริกาได้อัดเงินเพื่อเสริมสภาพคล่องเข้าไปเป็นจำนวนมหาศาล เรียกได้ว่าจำนวนเงินในครั้งนี้นั้นสูงกว่าจำนวนเงินที่ใช้แก้วิกฤตเศรษฐกิจในปี 2008 เสียอีก การเสริมสภาพคล่องดังกล่าวได้ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างเช่นภาวะเงินเฟ้อ (อ้างอิงจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่มีตัวเลขสูงที่สุดในรอบทศวรรษ) การที่เงินเฟ้อปรับตัวขึ้นส่งผลให้ราคาสินค้าต้องปรับตัวขึ้นตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทเกษตร (soft commodities)
เพราะสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นรากฐานการบริโภคของมนุษยชาติ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นหรือแย่ลงเพียงใด มนุษย์ก็ยังต้องกินต้องดื่มต้องใช้ ในยามที่มีภัย จึงไม่แปลกใจที่เราจะได้เห็นภาพคนซื้อสินค้าเหล่านี้ไปกักตุนมากขึ้น และบริษัทระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการผลิตอาหารและการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงบริการจัดเก็บพืชผลทางการเกษตรและบริการด้านการขนส่งอย่าง “อาร์เชอร์แดเนียลส์มิดแลนด์” (NYSE:ADM) จะไม่ได้กำไรจากความเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างไร เพราะขาขึ้นในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ตอนนี้ หมายถึงกำไรที่บริษัทจะได้รับมากขึ้นในทุกๆ นาที
WASDE เผยให้เห็นขาขึ้นของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
อ้างอิงข้อมูลจากรายงานคาดการณ์ภาวะอุปสงค์และอุปทานสินค้าเกษตรโลก (WASDE) รายเดือนของกระทรวงการเกษตรสหรัฐฯ ระบุว่าตั้งแต่วันที่ 12 เมษายนเป็นต้นมา สินค้าเกษตรอย่างเช่นข้าวโพด ถั่วเหลือง ข้าวสาลี และฝ้ายต่างมีราคาเพิ่มขึ้น และในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา สินค้าโภคภัณฑ์ประเภทอื่นๆ ก็ได้ปรับตัวขึ้นด้วยยกตัวอย่างเช่น
- ราคา ข้าวโพดปรับตัวขึ้นจาก $3.53 เป็น $5.6825 ต่อบุชเชล คิดเป็นการปรับตัวขึ้น 61.0%
- ราคาถั่วเหลืองปรับตัวขึ้นจาก $9.67 เป็น $13.73 ต่อบุชเชล คิดเป็นการปรับตัวขึ้น 42.0%
- ราคาข้าวสาลีปรับตัวขึ้นจาก $5.5175 เป็น $7.6225 ต่อบุชเชล คิดเป็นการปรับตัวขึ้น 38.2%
- ราคาสินค้าปศุสัตว์ปรับตัวขึ้นจาก $1.08225 เป็น $1.28125 ต่อปอนด์ คิดเป็นการปรับตัวขึ้น 18.4%
- ราคาเนื้อสุกรปรับตัวขึ้นจาก 56.70 เซนต์เป็น 86.525 ต่อปอนด์ คิดเป็นการปรับตัวขึ้น 56.2%
- ราคาสินค้าจากฝ้ายปรับตัวขึ้นจาก 65.79 เซนต์เป็น 94.32 เซนต์ คิดเป็นการปรับตัวขึ้น 43.4%
ยิ่งราคาสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้ปรับตัวขึ้นมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้กำไรของบริษัทเอดีเอ็มเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อประกอบเข้ากับภาวะเงินเฟ้อในปัจจุบัน หมายความว่าผู้บริโภคต้องซื้อสินค้าเหล่านี้ในราคาที่แพงขึ้น
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแต่จะแพงขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าเฟดจะย้ำชัดว่าเงินเฟ้อเป็นเพียง “ปัจจัยชั่วคราว”
ต้องยอมรับธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) คือหนึ่งในผู้ที่มีส่วนทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้น เพื่อต่อกรกับโควิด-19 เฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมา และอัดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อเพิ่มสภาพคล่องเข้าไปในระบบการเงินให้มากที่สุด ผลที่ได้คือเศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว (อย่างที่เราเห็น) แต่ผลกระทบคือสินค้ามีราคาแพงขึ้น อ้างอิงข้อมูลจากดัชนีราคาผู้บริโภค (ซึ่งปกติเฟดจะดู Core CPI เป็นหลัก) ปรากฎว่าข้อมูลในเดือนพฤษภาคม มิถุนายน และกรกฎาคม ปรับตัวขึ้นสูงที่สุดในรอบปี
ก่อนหน้านี้ราคาอาหารและพลังงานก็ได้ปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่ปี 2020 แล้ว เมื่อมาเจอกับการกระจายวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพ ปัญหาซัพพลายเชนคอขวดและเงินที่ได้มาจากการเยียวยาเศรษฐกิจ ยิ่งทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามหลักอุปสงค์ที่มีมากกว่าอุปทาน จึงไม่ต้องแปลกใจที่เราจะได้เห็นราคาของสินค้าโภคภัณฑ์บางตัวทำจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะพยายามออกมาปลอบตลาดด้วยการพูดว่าภาวะเงินเฟ้อในตอนนี้เป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว จริงอยู่ว่าเมื่อมีการปรับนโยบายทางการเงิน สินค้าโภคภัณฑ์บางตัวอาจจะมีราคาที่ลดลง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ กับราคาอาหารที่ได้ปรับตัวขึ้นไปแล้ว และคาดว่าจะปรับตัวขึ้นต่อไปเรื่อยๆ
การครองโลกของบริษัทกลุ่ม ABCD
ที่จริงแล้วบริษัทเอดีเอ็มเป็นหนึ่งในสี่ยักษ์ใหญ่จากกลุ่มที่มีชื่อเล่นว่า ABCD ที่ครองตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ นอกจากเอดีเอ็มแล้วยังมีอีกสามบริษัทที่ครองตลาดเกษตรได้แก่ บังกี้ (Bunge) คาร์กิลล์ (Cargill) และเดรย์ฟัส (Louis Dreyfus) แต่มีเพียงเอดีเอ็มและบังกี้ (NYSE:BG) เท่านั้นที่เข้าสู่พาบริษัทเข้าสู่ตลาดหุ้น ที่หน้าเว็บไซต์ของเอดีเอ็ม พวกเขาได้เรียกตัวเองว่าเป็น “บริษัทที่เป็นผู้มอบอาหารให้แก่ผู้คนทั่วโลก” มาตั้งแต่ปี 1902
ขาขึ้นของหุ้นเอดีเอ็มและผลตอบแทนที่น่าดึงดูด
ราคาหุ้นเอดีเอ็มที่ระดับราคา $64.60 ทำให้บริษัทมีมูลค่าตลาดอยู่ใกล้กับ $35,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มีปริมาณการซื้อขายหุ้นรายวันคิดเป็นมูลค่า $2.44 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีเปอร์เซ็นต์การปันผลรายปีอยู่ที่ 2.37% คิดเป็นเงิน $1.48 การปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ทำให้หุ้นของเอดีเอ็มสามารถสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ได้ในเดือนมิถุนายน
ที่มา: Barchart
กราฟในรูปด้านบนแสดงให้เห็นราคาหุ้นของเอดีเอ็มที่ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ $69.30 ในเดือนมิถุนายน ก่อนที่จะปรับฐานลงมาวิ่งอยู่ที่ $62.46 ในวันที่ 16 สิงหาคม หากพิจารณากราฟในระยะเวลา 30 ปีล่าสุด จะเห็นว่าราคาหุ้นเอดีเอ็มยกจุดต่ำสุดของราคาสูงขึ้นตลอด เช่นเดียวกันกับจุดสูงสุดด้วย
หากถามว่าสาเหตุของขาขึ้นในหุ้นของเอดีเอ็มเกิดมาจากอะไร คำตอบของคำถามนี้ง่ายมาก เพราะความต้องการของคนที่เพิ่มมากขึ้นตามจำนวนประชากรโลก ในขณะที่ปริมาณและความสามารถในการผลิตสินค้าเกษตรทั่วโลกที่มีอยู่อย่างจำกัด ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติที่สำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ ระบุว่าประชากรโลกในปี 2021 มีสูงกว่าปี 2020 และตัวเลขคาดการณ์ประชากรโลกในปี 2022 ก็0tมีสูงกว่าปี 2021 นั่นหมายความว่าเอดีเอ็ม และบริษัทในกลุ่ม ABCD มีแนวโน้มที่จะทำกำไรเติบโตขึ้นได้อีกในอนาคต
ผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของเอดีเอ็มไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
การรายงานผลประกอบการของบริษัทเอดีเอ็มในสี่ครั้งล่าสุด บริษัทสามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์มาได้อย่างไม่มีปัญหา
ที่มา: Yahoo Finance
จากรูปเราจะเห็นว่าในไตรมาสที่ 2 เอดีเอ็มมีรายงานตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS) เพิ่มขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์ $1.03 เป็น $1.33 และผลงานในไตรมาสที่สองก็พึ่งทำให้บริษัทเก็บสถิติรายงานผลประกอบการที่สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ได้สี่ไตรมาสติดต่อกัน
ที่มา: Investing.com
ผลสำรวจจากนักวิเคราะห์ Investing.com 15 คนยกให้ระดับราคาเป้าหมายถัดไปอยู่ที่ $67.54 และมีกรอบการวิ่งของราคาอยู่ระหว่าง $76 - $55
ไม่ว่าเฟดจะพยายามโน้มน้าวนักลงทุนให้เชื่อว่าเงินเฟ้อเป็นเรื่องชั่วคราวมากแค่ไหน แต่ความเป็นจริงก็คือราคาสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทเกษตรยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะตอนนี้ที่เรากำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ช่วงฤดูเก็บเกี่ยวของพื้นที่ทางตอนเหนือในอเมริกา ยิ่งราคาสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้ปรับตัวขึ้นมากเท่าไหร่ ราคาหุ้นของเอดีเอ็มก็ยิ่งมีโอกาสปรับตัวขึ้นมากเท่านั้น