ด้วยผลงานของหุ้นกลุ่มธนาคารในช่วงปีที่แล้ว เชื่อว่าสัปดาห์นี้ที่จะมีการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของหุ้นกลุ่มธนาคารคงจะไม่มีใครวิจารณ์อะไรมากนัก ดัชนีธนาคาร KBW ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานของดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารได้ปรับตัวขึ้นมามากกว่า 70% ในปีที่แล้ว คิดเป็นขาขึ้นมากกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับเอสแอนด์พี 500 ในช่วงเวลาเดียวกัน สร้างประวัติศาสตร์ขาขึ้นสูงที่สุดจากจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2008
อย่างไรก็ตาม ไม่มีงานเลี้ยงไหนที่ไม่มีวันเลิกรา ขาขึ้นในช่วงวิกฤตโควิดก็เช่นกัน นักวิเคราะห์ประเมินว่ากำไรในการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2021 (ซึ่งจะเริ่มต้นขึ้นในวันนี้) จากการทำธุรกรรมของธนาคารชั้นนำในสหรัฐอเมริกาจะลดลง 28% การประเมินนี้สอดคล้องกับคำพูดของเหล่าบรรดาผู้บริหารธนาคารชื่อดังอย่างซิตี้กรุ๊ป (NYSE:C) และเจพีมอร์แกน (NYSE:JPM) ที่ออกมาเตือนก่อนการรายงานผลประกอบการว่ากำไรที่ได้จากการทำธุรกรรมอาจหดตัวลดลง 30% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว ซึ่งเงินจำนวนนี้คิดเป็น 10% ของกำไรที่ธนาคารสามารถหาได้
นักวิเคราะห์ให้เหตุผลที่ประเมินออกมาเช่นนี้เป็นเพราะอัตราการกู้ยืมของธนาคารไม่มีการเติบโต (Loan Growth) ในช่วงวิกฤตโรคระบาด ผู้บริโภคและธุรกิจต่างเลือกใช้วิธีลดค่าใช้จ่ายของตัวเอง แทนที่จะไปกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่อง และจนถึงตอนนี้ตัวเลขดังกล่าวก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะปรับตัวขึ้น ค่าเฉลี่ยของอัตราการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสที่ 2 อาจปรับตัวลดลง 3%
ปัจจัยภายนอกยังเสริมขาขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร
ถึงแม้ว่าจะมีจุดอ่อนให้เห็น แต่ธนาคารพาณิชย์เหล่านี้ก็ยังมีจุดแข็งที่อาจเรียกความสนใจของนักลงทุนในช่วงไตรมาสที่ 3 นี้ได้ ยกตัวอย่างเช่นพวกเขาสามารถนำเงินสำรองที่เก็บเอาไว้เป็นพันล้านเหรียญเอามาปล่อยกู้ให้กับผู้คนหรือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาด
สำนักข่าว Wall Street Journal รายงานบทวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์จาก Keefe และ Bruyette & Woods ที่ระบุว่ากำไรต่อหุ้นของกลุ่มธนาคารในไตรมาสที่ 2 อาจเพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว อีกหนึ่งปัจจัยที่อาจเป็นตัวหนุนการเติบโตของหุ้นกลุ่มธนาคารคือกำไรของธุรกิจที่ธนาคารเหล่านี้ไปควบรวมมาในช่วงครึ่งปีแรก กำไรจากธุรกิจเหล่านี้อาจทำให้ธุรกิจของธนาคารเติบโตถึง 30%
นักวิเคราะห์จากทั้งสองสำนักยังได้วิเคราะห์ต่อว่า นอกจากการควบรวมกิจการแล้ว ปัจจัยภายนอกที่เป็นผลกระทบเชิงบวกให้กับการเติบโตของหุ้นกลุ่มธนาคารคือการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลโจ ไบเดน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยให้คนกลับมามีกำลังกู้ได้อีกครั้งเมื่อการจ้างงานเริ่มกลับเข้าสู่สภาพปกติ ที่สำคัญหากธนาคารกลางสหรัฐฯ ตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นและทยอยถอนสภาพคล่องออกอย่างรอบคอบ ก็จะยิ่งทำให้ธนาคารกลับมามีกำไรมากขึ้นจากอัตราดอกเบี้ย
ธนาคารชื่อดังอย่างเวลล์ ฟาร์โก (NYSE:WFC) และแบงก์ ออฟ อเมริกา (NYSE:NYSE:BAC) อยู่ในจุดที่พร้อมแสดงให้เห็นว่าพวกเขาคือผู้ที่ได้ประโยชน์จากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการเติบโตของอัตราการกู้ ทั้งสองธนาคารมีคิวจะรายงานผลประกอบการในวันพรุ่งนี้ก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด สองสิ่งนี้จะกลายเป็นมาตรวัดหลักของหุ้นกลุ่มธนาคารไปอีกเก้าเดือนต่อจากนี้
ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่ธนาคารซิตี้กรุ๊ปจะปรับอัตราเงินปันผลขึ้น ซิตี้กรุ๊ปเป็นหนึ่งในหกธนาคารปล่อยกู้อันดับต้นๆ ที่ไม่ได้เพิ่มเงินปันผลในช่วงเดือนที่แล้ว พวกเขายังคงตัวเลขปันผลรายไตรมาสเอาไว้ที่ $0.51 และเปอร์เซ็นต์การปันผลรายปีเอาไว้ที่ 2.98% อนึ่ง ซิตี้กรุ๊ปมีคิวจะรายงานผลประกอบการในวันพรุ่งนี้ก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด
นอกจากซิตี้กรุ๊ปแล้ว ธนาคารอันดับต้นๆ ที่เหลืออีกห้าแห่งต่างปรับขึ้นอัตราเงินปันผลกันหมด ซึ่งส่วนใหญ่พวกเขาเลือกที่จะขึ้นปรับเปอร์เซ็นต์เงินปันผลขึ้น 40% หรือเท่ากับจำนวนที่หยุดจ่ายไปในช่วงที่มีการแพร่ระบาด จนธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ประเมินสถานภาพทางการเงินของธนาคารชื่อดังทั้งหกว่าผ่านแล้ว พวกเขายังสามารถซื้อหุ้นของตัวเองคืนได้อีกด้วย
โดยสรุปแล้ว
หากหุ้นกลุ่มธนาคารสามารถทำกำไรได้เป็นอย่างดีจากการรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ปี 2021 นี่จะเป็นสัญญาณบ่งบอกเลยว่าวิกฤตโควิดสำหรับธนาคารสหรัฐฯ ได้จบลงแล้ว และข้อสรุปนี้จะยิ่งเด่นชัดมากขึ้นเมื่อธนาคารชื่อดังเริ่มกลับมาทำกำไรได้จากอัตราดอกเบี้ยและการเติบโตของอัตราการกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น