หากเป้าหมายการลงทุนของคุณท่ามกลางสภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำคือการตามหาหุ้นปันผลสูง ผมบอกได้เลยว่าตัวเลือกของคุณมีไม่มากนัก การฟื้นตัวของตลาดหุ้นวอลล์ สตรีททำให้อัตราเงินปันผลเฉลี่ยจากบริษัทบนดัชนีเอสแอนด์พี 500 เหลือเพียง 2% เท่านั้น
แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ต้องการจะทำกำไรพร้อมกับป้องกันตัวเองให้อยู่ในเซฟโซน คุณสามารถลงทุนในหุ้นของบริษัทที่สังกัดอยู่บนดัชนีดาวโจนส์ได้ ในบทความนี้เราก็ได้หยิบหุ้นชื่อดังจากดาวโจนส์ที่มีทั้งคุณสมบัติการทำกำไรได้ดีและสามารถป้องกันคุณจากความเสี่ยงไปพร้อมๆ กันได้มาฝาก
1. Chevron
เปอร์เซ็นต์การปันผล: 5.1%
เงินปันผลในแต่ละไตรมาส: $1.34
มูลค่าหลักทรัพย์ตามตลาด: $205,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ถึงแม้ว่าราคาน้ำมันในตอนนี้จะมีราคาสูงมากจนไม่คิดว่าการเข้าซื้อตอนนี้จะได้กำไรแล้ว แต่สำหรับบริษัทที่ทำเกี่ยวกับน้ำมันยังถือว่ามีโอกาส ยกตัวอย่างเช่นหุ้นของบริษัทเชฟรอน (NYSE:CVX) บริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา
หุ้นเชฟรอนยังคงให้ผลตอบแทนที่มากกว่าดัชนีเอสแอนด์พี 500 มากถึงสองเท่า ในประเทศที่ระบบเศรษฐกิจสามารถกลับมาขับเคลื่อนได้ตามปกติ ประชาชนสามารถถอดหน้ากากได้ ประจวบเหมาะกับการเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนแล้ว ความต้องการน้ำมันในสหรัฐฯ จึงปรับเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว หุ้นเชฟรอนจึงกำลังอยู่ในจุดที่ดีที่จะปรับตัวขึ้นต่อได้
หากเทียบระหว่างห้าบริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ จะพบว่าเชฟรอนเป็นบริษัทที่มีบาลานซ์ชีทดีที่สุดและมีการซื้อหุ้นคืนมากที่สุด ในเดือนมีนาคมเชฟรอนได้เคยกล่าวว่าบริษัทจะสามารถสร้างกระแสเงินสดและเพิ่มเงินปันผลในมากขึ้นได้ภายในปี 2025 ตราบใดที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ยังสามารถยืนเหนือ $60 ต่อบาร์เรลได้
แต่ภาพรวมของราคาน้ำมันดิบในตอนนี้ก็ยังไม่แน่นอนนัก การกลับมาเปิดเมืองเปิดพื้นที่ทางเศรษฐกิจได้แล้วของประเทศมหาอำนาจทำให้กิจกรรมทางเศรีษฐกิจกลับมาก็จริง แต่ตอนนี้ปัญหาถัดมาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่คือภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบให้ราคาสินค้าแพงขึ้น รวมไปถึงต้นทุนการเดินทางด้วย และอาจจะทำให้การท่องเที่ยวลดลงแทนที่จะเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้นโยบายลดโลกร้อนของประธานาธิบดีโจ ไบเดนก็สร้างผลกระทบต่อราคาน้ำมันเป็นอย่างมาก ผลสำรวจของธนาคารกลางสหรัฐฯ แห่งหนึ่งเผยว่า 54% ของบริษัทผู้ขุดเจาะน้ำมันลังเลที่จะลงทุนกับการซื้อแท่นขุดเจาะหรือลงทุนขุดเจาะแหล่งน้ำมันเพิ่ม ที่สำคัญภาครัฐยังมีการกีดกันไม่ให้เอกชนเข้าไปขุดน้ำมันในพื้นที่ของรัฐอีกด้วย
2. Verizon Communications
เปอร์เซ็นต์การปันผล: 4.52%
เงินปันผลในแต่ละไตรมาส: $0.63
มูลค่าหลักทรัพย์ตามตลาด: $234,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
บริษัทผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ คือบริษัทถัดมาที่เราต้องการนำเสนอ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเฟื่องฟูหรือตกต่ำ ผู้คนในยุคนี้ก็ไม่สามารถอยู่ได้โดยไม่พึ่งพาอินเตอร์เน็ตหรืออุปกรณ์ไร้สายอีกต่อไป ยิ่งผู้คนเสพย์ติดอินเตอร์เน็ตมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลดีกับบริษัท “เวอร์ไรซอน” (NYSE:VZ) ในระยะยาวมากเท่านั้น
หุ้นเวอร์ไรซอนให้ผลตอบแทนดีมากและเป็นหนึ่งในหุ้นตัวโปรดของนักลงทุนวัยเกษียณ เวอร์ไรซอนมีการปันผลคืนให้กับนักลงทุนอยู่ตลอดและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มาตั้งแต่ปี 2007 ปัจจุบันบริษัทมีการปันผลรายไตรมาสอยู่ที่ $0.63 คิดเป็นเปอร์เซ็นต์การปันผลรายปีอยู่ที่ 4.5%
ฮาน เวสท์เบิร์ก CEO ของเวอร์ไรซอนไม่เคยคิดที่จะลงทุนในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงอย่างเช่นสื่อเลย เขาสนใจแต่วิธีการที่จะพัฒนาและขยายเครือข่ายสัญญาณอินเตอร์เน็ตให้ไปได้ไกลมากยิ่งขึ้น ตอนนี้สิ่งที่ฮานสนใจมากที่สุดคือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ถึงขนาดว่ายอมขายบริษัทที่เกี่ยวข้องกับสื่ออย่าง AOL หรือ Yahoo ให้แก่บริษัท Apollo Global Management (NYSE:APO) ในมูลค่า $5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
เวอร์ไรซอนบอกแก่นักลงทุนของพวกเขาว่าภายในสิ้นปีนี้เครือข่าย 5G ของบริษัทจะครอบคลุมถึงผู้คนมากกว่า 100 ล้านคน ซึ่งภายในปี 2024 จะช่วยให้บริษัทมีกำไรเติบโตได้ 4% อย่างไรก็ตามข้อเสียอย่างหนึ่งของการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้คือกำไรส่วนต่างที่ได้จากราคาค่อนข้างน้อย แต่เป็นหุ้นที่เหมาะแก่การซื้อแล้วไม่ต้องสนใจอีกเลยไปตลอดชีวิต
3. IBM
เปอร์เซ็นต์การปันผล: 4.47%
เงินปันผลในแต่ละไตรมาส: $1.64
มูลค่าหลักทรัพย์ตามตลาด: $130,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
บริษัทสุดท้ายที่เราจะแนะนำคือบริษัทไอบีเอ็ม (NYSE:IBM) บริษัทผู้ผลิตฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ที่มีอายุยาวนานถึง 109 ปีและมีการเพิ่มเงินปันผลมาตลอด 25 ปีติดต่อกัน ถึงแม้ว่า IBM จะสามารถเพิ่มเงินปันผลได้เป็นระยะเวลาอย่างยาวนาน แต่ข้อเสียและความเสี่ยงที่ IBM มีคือการเปลี่ยนแปลงตัวเองที่ช้ามาก ท่ามกลางการแข่งขันในการพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ บริษัทอย่างเช่นอะเมซอน (NASDAQ:AMZN) หรือไมโครซอฟต์ (NASDAQ:MSFT) กลับทำได้ดีกว่า ทั้งในแง่ของการพรีเซนต์ตัวเอง การปรับตัว การแข่งขันพัฒนาธุรกิจคลาวด์
อย่างไรก็ตามเมื่อไม่นานมานี้มีสัญญาณการฟื้นตัวเกิดขึ้นจากบริษัทไอบีเอ็ม บริษัทสามารถรายงานผลกำไรในเดือนเมษายนเป็นบวกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ไตรมาสล่าสุด ระดับเปอร์เซ็นต์เงินปันผลในปัจจุบันมีตัวเลขอยู่ที่ 4.5% ต่อปี เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาวเป็นอย่างมาก เมื่อลองพิจารณาลึกเข้าไป เราจึงได้พบว่ามีความต้องการคลาวด์ของบริษัทไอบีเอ็มเพิ่มมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นบริษัท Red Hat ที่ไอบีเอ็มไปควบรวมมาในปี 2019 สามารถทำกำไรเพิ่มขึ้น 17% ได้เป็นไตรมาสแรก
อาร์วิน คริชนา CEO คนปัจจุบันกำลังมองไปที่โปรเจคพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไปพร้อมๆ กับการพัฒนาคลาวด์ ก่อนหน้าที่จะเข้ามารับตำแหน่ง อาร์วินมีความเชี่ยวชาญเรื่องการทำระบบคลาวด์แบบผสมเป็นอย่างมาก ซึ่งจะทำให้ลูกค้าที่เป็นองค์กรสามารถเก็บข้อมูลไว้ในระบบคลาวด์สาธารณะที่ไม่มีความจำเป็นต้องแยกเซิฟเวอร์ออกจากกันได้
โดยสรุปแล้ว
หุ้นสามตัวที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางตัวเลือกจากกลุ่มหุ้นที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่บริษัทเหล่านี้มีเหมือนกันคือตัวเลขบาลานซ์ชีทที่ดี มีประวัติการปันผลมาอย่างยาวนาน และที่สำคัญที่สุดคือแบรนด์ที่พอพูดชื่อปั๊ปทุกคนก็จะรู้จักทันที ซึ่งจุดนี้คือข้อดีที่ช่วยลดความเสี่ยงท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจแปรปรวนเช่นนี้ลงได้