การซื้อขายก๊าซธรรมชาตินั้นเริ่มต้นขึ้นบนตลาด NYMEX ของ CME ในปี 1990 จากวันนั้นจนถึงวันนี้คิดเป็นการเดินทางของตลาดซื้อขายก๊าซธรรมชาติมายาวนานถึง 31 ปี เราเห็นการซื้อขายก๊าซธรรมชาติล่วงหน้าตั้งแต่มีราคาอยู่ที่ $1.02 ในปี 1992 ขึ้นมาสร้างจุดสูงสุดที่ $15.65 ต่อหนึ่งล้านบีทียู (MMBtu) ในปี 2005
ในช่วงเวลาสามสิบกว่าปีนั้น ตลาดก๊าซธรรมชาติต้องผ่านอะไรมามาก ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาทำให้เราพบแหล่งก๊าซธรรมชาติมากมาย และทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติต้องถูกปรับลดลงมาเมื่อมีซัพพลายในตลาดมากขึ้น ที่สำคัญเมื่อเทคโนโลยีการขนส่งพัฒนาขึ้น สหรัฐฯ ก็สามารถส่งออกก๊าซธรรมชาติไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั้งในรูปแบบปกติและในรูปแบบของเหลว (LNG) ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็ได้เปลี่ยนจากเทคโนโลยีถ่านหินมาใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้น เพิ่มความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทพลังงานให้มีมากยิ่งขึ้น
แต่ความสำคัญของก๊าซธรรมชาติกำลังจะเปลี่ยนไป เมื่อประธานาธิบดีโจ ไบเดนก้าวเข้ามารับตำแหน่งผู้นำของสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 20 มกราคมปี 2021 ที่ผ่านมาสหรัฐฯ ใช้นโยบายพลักดันการสร้างพลังงานจากการขุดหินน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติมาโดยตลอด แต่เมื่อโจ ไบเดนต้องการให้เกิดการใช้งานพลังงานสะอาดมากขึ้น ย่อมหมายความว่าต้นทุนในการขุดพลังงานแบบเดิมๆ ก็จะยิ่งแพงขึ้นเมื่อเทียบกับการหันไปลงทุนในพลังงานไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้สหรัฐฯ ต้องหันมาจัดการกับปัญหานี้ก่อน และหนึ่งในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนเลือกใช้คือการอัดฉีดเงินเพิ่มสภาพคล่อง แต่ผลข้างเคียงที่ตามมาก็คือภาวะเงินเฟ้อที่ส่งผลให้ราคาสินค้าแพงขึ้น รวมไปถึงตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ด้วย นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาจึงปรับตัวขึ้นอยู่ตลอด และเมื่อเทียบระหว่างช่วงเวลานี้ของปีที่แล้วกับปี 2021 เราก็ได้พบว่าราคาก๊าซธรรมชาติได้สร้างแนวโน้มขาขึ้นขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ
จุดต่ำสุดในรอบ 25 ปีเมื่อมิถุนายนปีที่แล้ว
หนึ่งปีก่อนราคาซื้อขายก๊าซธรรมชาติล่วงหน้าได้ปรับตัวลดลงไปยังจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1995 ที่ระดับราคา $1.432 ต่อ MMBtu
ที่มา: CQG
กราฟในรูปแสดงให้เห็นช่วงเวลาที่ห่างกันเกือบห้าสิบปี ในปี 1995 ราคาก๊าซธรรมชาติตกต่ำเพราะไม่มีความต้องการ แต่ในปี 2020 ราคาก๊าซธรรมชาติตกต่ำเพราะภัยโรคระบาด ขาลงในปี 2020 เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนมิถุนายน ตอนนั้นราคาก๊าซธรรมชาติตกต่ำลงไปจนทำให้วอร์เรน บัฟเฟต นักลงทุนในตำนานและเป็นเจ้าของบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮททาเวย์ (NYSE:BRKb) ต้องลงไปซื้อหุ้นบริษัทพลังงานโดมิเนียน เอ็นเนอร์จี้ (NYSE:D) เพื่ออุ้มบริษัทเอาไว้
ผ่านไปเพียงหนึ่งปี ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
การซื้อขายหุ้นครั้งนั้นเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม บริษัทเบิร์กเชียร์ต้องจ่ายเงินสด $4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐและจ่ายอีก $10,000 ล้านเหรียญเพื่ออุ้มหนี้และซื้อที่สำหรับกักเก็บก๊าซธรรมชาติเพิ่ม การซื้อครั้งนั้นทำให้บริษัทเบิร์กเชียร์ควบคุมตลาดก๊าซธรรมชาติของสหรัฐฯ จาก 8% เพิ่มขึ้นเป็น 18% นักลงทุนที่ลงทุนในก๊าซธรรมชาตินับตั้งแต่ช่วงตกต่ำในปี 2020 จึงได้เฮในปี 2021
ที่มา: CQG
กราฟรายสัปดาห์รูปนี้แสดงช่วงเวลาที่ก๊าซธรรมชาติอยู่จุดต่ำสุดได้วิ่งขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดเมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคมและต้นพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาพอดีกับการเริ่มต้นฤดูหนาว หลังจากนั้นราคาก๊าซธรรมชาติก็ปรับตัวขึ้นมาเรื่อยๆ จนสามารถยืนเหนือ $3.00 ต่อ MMBtu ได้ในวันที่ 7 มิถุนายน แม้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนจะให้เหตุผลว่าเพราะการถือกำเนิดของวัคซีนมีส่วนช่วยให้ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์กลับมา แต่ความจริงที่ต้องยอมรับก็คือ ถ้าในช่วงเวลานั้นยังไม่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดี เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทุกวันนี้สหรัฐอเมริกาจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
ผู้นำเปลี่ยน วิสัยทัศน์เปลี่ยน การบริหารเปลี่ยน
ทันทีที่โจ ไบเดนเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกา นอกจากการพาสหรัฐฯ กลับเข้าสู่สนธิสัญญาปารีสแล้ว เขาได้ดำเนินการยกเลิกโปรเจคการสร้างท่อส่งน้ำมันจากเมืองอัลเบอร์ต้า แคนาดามายังรัฐเนแบรสกาในทันที และเพื่อเป็นการตอกย้ำว่าสหรัฐอเมริกาต้องเข้าสู่ยุคแห่งการเป็นผู้นำในด้านพลังงานสะอาดอย่างจริงจัง เขาได้ทำการระงับการขุดและการส่งน้ำมันมาจากอลาสก้าซึ่งอดีตประธานาธิบดีได้เปิดเอาไว้
ในช่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เรืองอำนาจ สหรัฐอเมริกาเคยผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจนเรียกได้ว่าสูสีกับประเทศผู้ผลิตน้ำมันอันดับหนึ่งของกลุ่มโอเปกอย่างซาอุดิอาระเบียได้ แต่ในยุคของโจ ไบเดน เราเชื่อว่าภาพเช่นนั้นคงจะไม่ได้เห็นอีกแล้ว
ถึงแม้จะเปลี่ยนผู้นำ แต่ราคาก๊าซธรรมชาติก็ยังมีแนวโน้มว่าจะปรับตัวขึ้นต่อ
ถึงแม้ว่าโจ ไบเดนจะอย่างเปลี่ยนสหรัฐฯ จากการใช้พลังงานถ่านหินไปเป็นพลังงานสะอาดมากเพียงใด แต่ความจริงที่เขาต้องยอมรับก็คือกรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว การกระจายวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพของเขากำลังทำให้ทุกอย่างดีขึ้น รวมถึงการกลับไปทำงาน ท่องเที่ยว และใช้พลังงานถ่านหินในรูปแบบเดิมๆ ที่คุ้นเคย
สำหรับก๊าซธรรมชาติ ถึงแม้ว่าจะมีปริมาณการใช้งานลดลงตามที่ท่านประธานาธิบดีต้องการ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการผลิตจะลดลงตามไปด้วย เพราะสหรัฐฯ ก็ยังได้กำไรจากการส่งออกแก๊สธรรมชาติเหลว จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสั่งให้ผู้ผลิตเหล่านี้หยุดทำในสิ่งที่พวกเขาถนัด ที่สำคัญยังเป็นการหาเงินเข้าประเทศอีกด้วย
ที่มา: CQG
กราฟรายเดือนในรูปแสดงให้เห็นการสร้างจุดต่ำสุดที่ยกตัวสูงขึ้น (Higher Lows) และและจุดสูงสุดที่สร้างจุดสูงสุดใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (Higher High) ในช่วงปี 2020 การที่นโยบายพลังงานเปลี่ยน แต่ราคากลับปรับตัวสูงขึ้น แสดงให้เห็นว่าความต้องการก๊าซธรรมชาติยังมี และก็ยังไม่ใช่เวลาที่ผู้ประกอบการจะปฏิเสธกำไรที่วางอยู่ตรงหน้าเมื่อเทียบกับนโยบายโลกสวยของท่านประธานาธิบดี
ปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ ที่อาจทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวขึ้นอีกในอนาคต
ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า สหรัฐอเมริกากำลังจะเข้าสู่การมีพายุเฮอริเคน ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามต่อตลาดก๊าซธรรมชาติมาโดยตลอด หากยังจำกันได้ในปี 2005 และ 2008 มีพายุเฮอริเคนที่ดังมากชื่อแคทธาริน่าและริต้า ในตอนนั้นราคาก๊าซธรรมชาติสามารถทะยานขึ้นยืนเหนือ $10 ต่อ MMBtu เนื่องจากพายุสร้างความเสียหายให้กับที่กักเก็บพลังงาน
อีกหนึ่งปัจจัยที่อาจทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวขึ้นได้มาจากปริมาณก๊าซธรรมชาติคงคลังทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา ข้อมูลจากสำนักบริหารสารสนเทศพลังงานของสหรัฐอเมริกา (EIA) ระบุว่าปริมาณก๊าซธรรมติที่ถูกสต๊อกเอาไว้ในคลังมีระดับที่ต่ำทั้งๆ ที่ฤดูร้อนซึ่งเป็นฤดูที่ชาวอเมริกันใช้พลังงานเป็นจำนวนมากกำลังจะมาถึง
ที่มา: EIA
ตารางนี้แสดงให้เห็นปริมาณก๊าซธรรมชาติคงคลังในตอนนี้ว่ามีน้อยกว่าตัวเลขในปีที่แล้ว 14.3% และมีน้อยกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 5 ปี อยู่ที่ 2.6% ทั้งเฮอริเคน ทั้งความต้องการพลังงานในหน้าร้อน และความต้องการพลังงานในช่วงฤดูหนาว เราอาจจะได้เห็นข่าวสหรัฐอเมริกาขาดแคลนก๊าซธรรมชาติในปีนี้ซึ่งนั่นจะยิ่งทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับตลาดลงทุนในตอนนี้ราคาซื้อขายก๊าซธรรมชาติล่วงหน้าที่จะส่งมอบในเดือนกรกฎาคมพึ่งจะปิดสัญญาลงไปในวันที่ 7 มิถุนายนที่ระดับราคา $3.07 ต่อ MMBtu และจากปัจจัยที่ผมได้กล่าวถึงไป จึงยิ่งทำให้ผมเชื่อว่าราคาของก๊าซธรรมชาติจะยังปรับตัวขึ้นต่อได้อีกในปีนี้
ในบทความนี้เราคงจะเห็นแล้วว่าความเปลี่ยนแปลงของตลาดก๊าซะรรมชาติภายในระยะเวลาเพียง 12 เดือนนั้นรวดเร็วมากแค่ไหน จากการเข้าถือหุ้นของนักลงทุนในตำนาน การเปลี่ยนประธานาธิบดี การเปลี่ยนนโยบายจากพลังงานถ่านหินเป็นพลังงานสะอาด แล้วในอนาคตก็กำลังจะมีเรื่องของพายุเฮอริเคน ปริมาณก๊าซธรรมชาติคงคลังตกต่ำ และฤดูหนาว ถ้าไม่ลงทุนกับก๊าซธรรมชาติในตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มเมื่อไหร่แล้ว