“การเรียนรู้คือสิ่งที่เราต้องเจอไปตลอดชีวิต” ผมไม่เคยรู้ซึ้งถึงความหมายของคำนี้ดีจนกับได้มาลงทุนกับสกุลเงินดิจิทัลอย่างบิทคอยน์ มันถือเป็นเรื่องยากที่จะให้คนในรุ่นอย่างผมยอมรับได้ว่าการเอาเงินจริงไปแลกเงินที่ไม่เคยได้จับต้องจริงๆ เลยสักครั้งจะมีมูลค่าได้อย่างไร วันที่บิทคอยน์วิ่งขึ้นแตะ $100 ผมบอกกับตัวเองว่าไร้สาระ วันที่บิทคอยน์ขึ้นแตะ $1,000 ผมบอกกับตัวเองว่าฟองสบู่ และวันที่บิทคอยน์ขึ้นแตะ $10,000 ได้ผมกลับบอกกับตัวเองว่า “นี่เราตกรถแล้วสินะ”
การได้ศึกษาถึงความสามารถที่แท้จริงของบล็อกเชนทำให้ผมเปลี่ยนความคิดที่มีต่อสกุลเงินดิจิทัล แม้กระทั่งตอนนี้ในวันที่มีแต่คนขาดทุนกับสกุลเงินดิจิทัล แต่ไม่มีใครเคยกล่าวโทษหรือให้ร้ายกับบล็อกเชนเลยสักครั้ง นั่นจึงทำให้ผมได้รู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของวิวัฒนาการการเงินของโลกอย่างแท้จริง แต่จนกว่าสกุลเงินดิจิทัลจะสามารถขึ้นถึงจุดที่เป็นที่ยอมรับของคนทั้งโลกได้ ครอบครัวสกุลเงินมากกว่า 9,000 สกุลเงินยังต้องผ่านอุปสรรคสำคัญอีกหลายด่านโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การถูกจำกัดความทางด้านกฏหมาย ความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ และความใส่ใจของผู้สร้างสกุลเงินดิจิทัลที่มีต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ความเชื่อมั่นยังคงเป็นประเด็นหลักที่ยังต้องถกเถียง
ถึงแม้ว่านักลงทุนในเจนเนอเรชั่นนี้จะเชื่ออย่างสุดใจว่าระบบรักษาความปลอดภัยของกระเป๋าเก็บสกุลเงินดิจิทัลนั้นมีความปลอดภัยสูงมาก และถึงแม้จะมีบริษัทใหญ่ๆ ที่ดูมีความน่าเชื่อถือเสนอตัวเป็นตัวกลางในการช่วยเก็บสกุลเงินดิจิทัลของคุณอย่างเช่นคอยน์เบส (NASDAQ:COIN), สแควร์ (NYSE:SQ) หรือเพย์พาล (NASDAQ:PYPL) แต่ความซับซ้อนและความเปราะบางในเชิงมูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลก็ยังแตกต่างจากสินทรัพย์อื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาดมานานแล้วอย่างเช่น หุ้น พันธบัตรรัฐบาล สินทรัพย์โภคภัณฑ์ ฯลฯ
สิทธิคุ้มครองนักลงทุนสกุลเงินดิลิทัลไม่ว่าจะเป็นมิติใดก็ตามจะได้รับการถกเถียงมากขึ้นเรื่อยๆ ตามความดังและการเติบโตของโลกคริปโตเคอเรนซี่ ความเชื่อใจ (Trust) คือสิ่งที่ผู้สร้างบิทคอยน์ยกขึ้นมาโจมตีโลกการเงินเดิมๆ เป็นประเด็นแรก แต่ก็เป็นความจริงอีกเช่นกันว่าทุกวันนี้เรายังเห็นข่าวตัวกลางการแลกเปลี่ยนถูกโจมตีได้ง่ายๆ สูญเงินไปหลายล้านเหรียญสหรัฐ หรือแม้กระทั่งแค่ลืมรหัสผ่านเงินที่คุณถือไว้ทั้งหมดก็จะหายสิ้น
จนกว่าคนในวงการสกุลเงินดิจิทัลจะสามารถเอาชนะข้อสงสัยเหล่านี้ได้ ถึงตอนนั้นสกุลเงินดิจิทัลถึงจะได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง และจะเป็นก้าวต่อไปที่สกุลเงินดิจิทัลจะได้รับการยอมรับในระดับสากล
ความเกี่ยวข้องระหว่างการโจมตีท่อส่งน้ำมันสหรัฐฯ กับตลาดสกุลเงินดิจิทัล
หนึ่งในข่าวใหญ่ที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับตลาดสกุลเงินดิจิทัล แต่ก็มีคนนำไปเชื่อมโยงกันนั่นก็คือการโจมตีท่อส่งน้ำมันของแฮกเกอร์ ที่ทำให้ 45% ของผู้ที่อยู่อาศัยในฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกาต้องเดือดร้อน
ในตอนแรกผู้คนก็ติดตามข่าวนี้อย่างไม่ได้ให้ความสนใจมากเท่าไหร่ จนกระทั่งเหมือนจะมีข่าวออกมาว่าบริษัทเจ้าของท่อส่งน้ำมันเส้นนนี้ยอมจ่ายเงินตามคำเรียกร้องของแฮกเกอร์ เรื่องนี้นำไปสู่ประเด็นความเปราะบางของสหรัฐฯ ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลก
การโจมตีครั้งนี้ทำให้ชาวอเมริกันบางส่วนตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความสามารถในการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ของสหรัฐอเมริกา จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีใครทราบว่าตัวจริงของแฮกเกอร์หรือคนกลุ่มนี้ว่าพวกเขาเป็นใคร หากว่าพวกเขาเป็นคนประเทศอื่นๆ อย่างเช่นรัสเซีย จีน หรือเกาหลีเหนือ นั่นหมายความว่าสหรัฐฯ มีความเป็นไปได้ที่จะถูกคุกคามและควบคุมจากประเทศเหล่านี้ใช่หรือไม่
อีกคำถามสำคัญที่ผู้คนกำลังอยากจะทราบคำตอบคือหากบริษัทเจ้าของท่อส่งน้ำมันจ่ายเงินค่าไถ่ให้กับผู้ก่อการร้ายจริง พวกเขาทำธุรกรรมกันอย่างไร ใช้สกุลเงินดิจิทัลเป็นตัวกลางการแลกเปลี่ยนใช่หรือไม่ นี่คือคำถามที่นักลงทุนผู้ศรัทธาในสกุลเงินดิจิทัลก็เถียงไม่ออกเพราะภายใต้เสรีภาพ การก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ก็ถือเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญ
เกมเปลี่ยนหน้าของอีลอน มัสก์
นักลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลต่างทราบกันดีว่าการจะขุดบิทคอยน์นั้นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าและก่อให้เกิดคาร์บอนจากโรงงานขุดบิทคอยน์อย่างมหาศาล ในปีที่แล้วที่อีลอน มัสก์ ยังเป็นผู้สนับสนุนบิทคอยน์และ “ไม่รู้” ถึงความเป็นจริงข้อนี้ เขาประกาศให้บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเทสลา (NASDAQ:TSLA) สามารถรับบิทคอยน์เป็นตัวกลางในการชำระเงินได้
ความสัมพันธ์ระหว่างมัสก์กับบิทคอยน์ก็เป็นไปได้ด้วยดี ราคาบิทคอยน์ทะยานขึ้นจาก $40,000 ขึ้นเป็น $60,000 ได้ แต่ด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่อาจทราบได้ อีลอน มัสก์ก็เริ่มปันใจไปให้กับสกุลเงินดิจิทัลตัวอื่นมากขึ้น และอยู่มาวันหนึ่งเขาก็ประกาศออกมาเสียอย่างนั้นว่าระงับการทำธุรกรรมด้วยบิทคอยน์ เพราะการขุดบิทคอยน์นั้นใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมหาศาลและขัดกับนโยบายสร้างพลังงานสะอาดจากรถยนต์ไฟฟ้าของเขา
ที่มา: CQG
กราฟในรูปนี้แสดงให้เห็นถึงวันเวลาที่บิทคอยน์ร่วงลงจาก $59,900 ในวันที่ 10 พฤษภาคมลงมายังจุดต่ำสุด $30,205 ในวันที่ 17 พฤษภาคม นี่คือความเคลื่อนไหวของตลาดหลังจากการประกาศของเทสลา ขนาดสกุลเงินดิจิทัลที่เป็นเบอร์หนึ่งของโลกในแง่ของมูลค่ายังเจอคำพูดของคนๆ เดียวสร้างความเสียหายได้ขนาดนี้ สกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ ในอนาคตก็อาจจำเป็นจะต้องพิจารณานโยบายพลังงานสะอาดเข้าไปในการพัฒนาเหรียญดิจิทัลของตนเองด้วย
อะไรที่ง่ายเกินไปบางที่ก็อันตรายเกินไป
ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนประเภทใดก็ตาม สิ่งที่จะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอนั่นคือ “ความเสี่ยง” เชื่อหรือไม่ว่าความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของแต่ละคนแล้วอันที่จริงไม่เท่ากัน ผมกล้าพูดเลยว่านักลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลตอนนี้บางคนยังไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยขนาดไหน จึงไม่แปลกใจเลยที่ความโลภยังคงทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดีไม่ว่ายุคสมัยจะผ่านไปนานเพียงใดก็ตาม
การเชื่อหรือฝันถึงโลกอนาคตไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่ความฝันนั้นต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ลองคิดดูว่าทุกวันนี้โลกของเรามีสกุลเงินดิจิทัลเกือบทะลุ 10,000 สกุลเงินดิจิทัล แต่จะมีสักกี่สกุลเงินที่จะสามารถนำไปใช้ได้จริงในโลกอนาคต ถึงขนาดที่ว่าสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดเกินหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยังมีไม่ถึง 100 สกุลเงินจากทั้งหมดเกือบ 10,000 สกุลเงิน
คำแนะนำส่วนตัวที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนในตลาดสกุลเงินดิจิทัลสำหรับผมก็คือ “การลงทุนด้วยเงินเย็นเท่านั้น” หมายถึงการลงทุนด้วยเงินจำนวนที่คุณมองว่าจะไม่เดือดร้อนต่อการใช้ชีวิต เงินที่ไม่ได้ไปกู้มาหรือเงินที่วางเอาไว้เฉยๆ ในธนาคารและคิดว่าปล่อยให้กินดอกไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร และการเลือกสกุลเงินที่จะลงทุนก็ควรเป็นสกุลเงินที่อยู่ในกลุ่มที่มีมูลค่าตลาดเกินหนึ่งพันล้านเหรียญขึ้นไป จึงจะถือได้ว่าปลอดภัย (ในระดับหนึ่ง)
สกุลเงินดิจิทัลจะเป็นผู้ที่พลิกโฉมโลกการเงินแน่นอนแต่...ยังต้องใช้เวลา
เป็นความจริงที่เทคโนโลยีบล็อกเชนคือเทคโนโลยีที่จะมาเปลี่ยนโลกของการทำธุรกรรม ไม่ว่าจะด้วยความเร็ว ความโปร่งใส ความสามารถในการติดตามเจ้าของเงินนั้นง่ายและรวดเร็วการระบบการเงินในยุคปัจจุบันมาก
และก็เป็นความจริงอีกเช่นกันที่สกุลเงินดิจิทัลเข้ามาชี้ให้เห็นจุดอ่อนของโลกการเงินสมัยเก่า ความผิดพลาดที่เกิดจากการคำนวณของมนุษย์ในแง่ของตัวเลขนั้นมีมากกว่าและสมควรให้หุ่นยนต์ที่มีความสามารถคำนวณได้เร็วมากกว่าหลายร้อยเท่ามาเป็นผู้ช่วยในการจัดการระเบียบของโลกการเงิน
ในมุมมองของผม การถือกำเนิดขึ้นของสกุลเงินดิจิทัลเป็นเหมือนผู้คอยควบคุมการกระทำของธนาคารกลาง จากนี้ไปธนาคารกลางจะไม่กล้าพิมพ์เงินออกมาอย่างไม่มีข้อจำกัดอีกแล้ว เพราะพวกเขารู้ดีว่ายิ่งพิมพ์ออกมามากเท่าไหร่ มูลค่าของสกุลเงินนั้นก็ยิ่งเสื่อมถอยลง และผู้คนก็จะหันไปถือสกุลเงินดิจิทัลกันมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันหลายๆ ประเทศก็ได้ดึงเอาเทคโนโลยีบล็อกเชนไปใช้ในการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของตัวเองขึ้นมา ผมเชื่อว่าเราจะมีโอกาสได้เห็นสกุลเงินหยวนดิจิทัลของจีนก่อน ในขณะที่ของสหรัฐฯ ประธานธนาคารกลางได้เคยออกมาบอกเองแล้วว่า
“สกุลเงินดิจิทัลที่ดี ไม่ใช่สกุลเงินดิจิทัลที่เร็ว แต่เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีคุณลักษณะการใช้งานในแบบที่เงินควรมีอย่างถูกต้อง”
ไม่ว่าจะเป็นสกุลเงินดั้งเดิมหรือสกุลเงินดิจิทัล ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีปัญหาที่ตัวเองต้องเผชิญ สกุลเงินดั้งเดิมก็ต้องแก้ไขปัญหาเงินล้นระบบให้ได้ ในขณะที่สกุลเงินดิจิทัลก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับในสากลโลกให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ ความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ และการรักษาสิ่งแวดล้อม