หลังจากใช้เวลานานเกือบสองสัปดาห์จากการดีดตัวขึ้นจาก $1,800 ในที่สุดราคาทองคำก็สามารถขึ้นยืนเหนือ $1,850 ได้สำเร็จ สถานการณ์ตอนนี้นักลงทุนกำลังพิจารณาว่าทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อไปจนถึง $1,900 ได้เลยหรือไม่ เพราะจากช่วงเวลาที่ทองคำวิ่งขึ้นมายัง $1,840 ก่อนที่จะขึ้นมายัง $1,850 ได้ก็ใช้เวลาอยู่ระยะหนึ่ง
ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่าแนวต้านด่านถัดไปที่กำลังรอทองคำอยู่ในตอนนี้จะเป็นด่านที่ยากอยู่พอสมควร แต่เมื่อดูจากพฤติกรรมของราคาทองคำตอนนี้ก็มีความเป็นไปได้เช่นกันที่ราคาทองคำจะไม่หยุดอยู่ที่ $1,850 นานนัก ประกอบกับสถานการณ์ของคู่แข่งคนสำคัญอย่างบิทคอยน์ตอนนี้ก็อาจจะส่งให้ทองคำสามารถขึ้นไปหา $1,900 ได้ง่ายขึ้น
เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งคือตอนนี้ธีมในโลกการลงทุนนอกจากฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแล้ว การเร่งตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาก็ถือเป็นเรื่องที่นักลงทุนวอลล์ สตรีทกังวล สังเกตได้จากพฤติกรรมของตลาดหลังจากการประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ร่วงลงทันทีหลังจากได้ทราบว่า CPI มีการขยายตัวอย่างก้าวกระโดด เหตุผลที่กล่าวมานี้อาจส่งให้ราคาทองคำวิ่งกลับขึ้นไปยังจุดสูงสุดของเดือนมกราคมที่ $1,960 หรืออาจจะกลับขึ้นไปที่จุดสูงสุดตลอดกาลที่สร้างเอาไว้ในเดือนสิงหาคมเลยก็เป็นได้
รูปที่ปรากฎอยู่ต้านล่างนี้คือการวิเคราะห์กราฟทองคำฟิวเจอร์สรายสัปดาห์ในช่วงสามปีบนตลาด COMEX ของผม ซึ่งผลที่ได้ก็บอกอย่างชัดเจนว่าไม่ว่าจะปรับตัวลดลงหรือวิ่งขึ้นต่อ ทุกอย่างก็เป็นไปได้
ที่มา: Investing.com
นับตั้งแต่ทองคำสามารถขึ้นยืนเหนือ $1,800 เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมได้สำเร็จ ความมั่นใจของนักลงทุนในตลาดก็เพิ่มขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ สังเกตได้จากการตัดขึ้นของเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นในอินดิเคเตอร์ MACD แรงส่งนี้ดันให้ราคาทองคำฟิวเจอร์สบนตลาด COMEX ปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนสามารถแตะ $1,855 ได้ในขณะที่กำลังเขียนบทความนี้อยู่
ขาขึ้นต่อจาก $1,850 ไปยัง $1,900 นั้นไม่ง่าย
จากตรงนี้ ($1,850 ต่อออนซ์) นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างพากันมองเป้าที่อยู่เหนือ $1,900 ขึ้นไปแล้ว บางแห่งก็บอกว่าทองคำอาจสามารถขึ้นไปถึง $1,945.70 บางแห่งก็บอกว่าอาจจะสามารถกลับขึ้นไปยังจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ $1,966.80 ได้เลย
แต่สำหรับนักลงทุนที่เฝ้ามองทองคำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะคนที่ตามราคาทองคำอย่างจริงจังในช่วงหกเดือนล่าสุดคนจะจับพฤติกรรมราคาทองคำในช่วงนี้ได้ว่าการขยับตัวขึ้นทีนึง $90-$100 นั้นไม่ง่ายเหมือนแต่ก่อน ดังนั้นการตั้งความหวังเล็กๆ อย่างไม่โลภมากเอาไว้ที่ $1,900 อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในตอนนี้
สถานการณ์ของคำตอนนี้ขึ้นอยู่กับระยะทางอีก $50 ไม่ว่าจะขึ้นหรือลง หากขึ้นไปยัง $1,900 ก็จะยิ่งเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนในตลาดอื่นๆ มาได้ แต่ถ้าไม่ราคาทองคำก็จะปรับตัวกลับลงไปยัง $1,800 หรือถ้าจะให้เป๊ะๆ ก็คือ $1,789.80 ทำลายขาขึ้นตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคมจนหมดสิ้น
แต่ถ้าทองคำสามารถขึ้นแตะ $1,900 หรือไปไกลได้ถึง $1,950 ก็ไม่ได้หมายความว่าแรงส่งขาขึ้นของทองคำจะหมดลงไปทันที เป้าหมาย $2,000 ของราคาทองคำอาจกลายเป็นเป้าหมายถัดไป หรือถ้าจะให้ระบุตัวเลขชัดๆ ก็คือ $2,101.60 ซึ่งอีกนิดเดียวก็จะถึงจุดสูงสุดตลอดกาลของทองคำฟิวเจอร์สบน COMEX แล้วที่ $2,107.60 เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม
สำนักอื่นวิเคราะห์ทองคำเอาไว้เช่นไรบ้าง?
นาย Sunil Kumar Dixit นักวิเคราะห์จาก S.K. Dixit ประเทศอินเดีย วิเคราะห์ว่าราคาทองคำอาจจะยังวิ่งขึ้นไปไม่ถึง $1,900 แต่อาจจะวิ่งอยู่ที่บริเวณ $1,860 - $1,880 เท่านั้น
ที่มา: S.K. Dixit Charting
Sunil วิเคราะห์ว่าราคาทองคำสปอตมีเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันทำเป็นแนวรับอยู่ที่ $1,844 โดยมีแนวรับที่แข็งแแกร่งรองรับอยู่ก่อนหน้านั้นที่ $1,850 และ $1,855
ที่มา: S.K. Dixit Charting
“จากการวิเคราะห์โดยใช้ Fibonacci ลากจากจุดต่ำสุด $1,676 ขึ้นไปยังจุดสูงสุด $2,075 ผมมองว่าตราบใดที่ราคาทองคำยังสามารถยืนเหนือ $1,844 หรือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน นักลงทุนก็ยังสามารถมองเป้าขาขึ้นไปที่ $1,865 และ $1,876 ได้ นอกจากนี้อินดิเคเตอร์อย่าง RSI ในตอนนี้ก็สนับสนุนให้ราคาปรับตัวขึ้นด้วย” - Sunil Kumar Dixit กล่าว
หรือนี่คือสัญญาณของภาวะเงินเฟ้อ
ขาขึ้นของราคาทองคำในช่วงนี้เกิดขึ้นหลังจากนักลงทุนวอลล์ สตรีททะเลาะกันเรื่องภาวะเงินเฟ้อนั้นกำลังเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนเมษายนที่พึ่งประกาศออกมาเมื่อวันพุธที่แล้วเติบโตขึ้น 4.2% นี่คือตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมาสูงที่สุดในรอบสิบสามปี ในขณะเดียวกันดัชนีราคาผู้ผลิตก็มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น 6.2% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ขยายตัวขึ้นมากที่สุดในรอบทศวรรษ
ช่วงเวลาที่ดัชนีราคาผู้บริโภคกำลังเติบโตขึ้นเร็วจนน่ากลัว ผู้เชี่ยวชาญก็พบว่ากิจกรรมในภาคการผลิตของสหรัฐอเมริกากำลังมีปัญหา รายงานตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนเมษายนเพิ่มขึ้นเพียง 0.7% เท่านั้น สำหรับผู้เชี่ยงชาญแล้ว ตัวเลข 0.7% นี้หมายถึงการเติบโตแบบชะลอตัวซึ่งเป็นผลกระทบมาจากชิปคอมพิวเตอร์ขาดแคลน จนส่งผลกระทบไปยังการผลิตรถยนต์ในปัจจุบันที่มีการพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น
ดัชนีวัดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจากมหาลัยมิชิแกนระบุว่าชาวอเมริกันมีความกังวลว่าภาวะเงินเฟ้อกำลังจะมากระทบต่อรายได้ของพวกเขา แม้แต่ตัวเลขยอดค้าปลีกที่เคยเติบโตเกือบ 11% ในเดือนมีนาคม พอมาถึงเดือนเมษายนกลับคงที่อยู่ที่ 0.0% ความกังวลต่อสินค้าที่กำลังจะมีราคาแพงขึ้นทำให้ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยน้อยลง
ฝั่งผู้ที่มีอำนาจสามารถควบคุมกลไกการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของอัตราเงินเฟ้ออย่างธนาคารกลางสหรัฐฯ นั้นแม้จะเห็นอยู่กับตาว่าเงินเฟ้อเริ่มส่งผลกระทบออกไปในกว้างแล้ว แต่พวกเขาก็ยังยืนยันว่านี่เป็นผลกระทบที่คาดการณ์ไว้แล้ว และเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ที่สำคัญธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังยืนยันว่าไม่มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ตามทฤษฎีแล้ว เมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ทองคำจะปรับตัวขึ้นในฐานะสินทรัพย์สำรองปลอดภัยที่เอาไว้คานกับภาวะเงินเฟ้อ แต่ในโลกที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความผันผวนและมีสินทรัพย์ทางเลือกประเภทใหม่เกิดขึ้นมากมาย ทำให้สิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริงในตำราเริ่มที่จะไม่เป็นจริงดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจที่เราจะสามารถเห็นภาพทองคำ ดอลลาร์สหรัฐและกราฟผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นพร้อมกันได้