จากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่เร่งตัวขึ้นทุกวันๆ ประกอบการธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังไม่ยอมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย การที่ราคาทองคำสามารถกลับขึ้นมายืนเหนือ $1,800 ได้อีกครั้งจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่คำถามก็คือว่าขาขึ้นครั้งนี้จะอยู่ได้ยาวนานเพียงใด
ก่อนที่จะมีขาขึ้นครั้งนี้ ราคาทองคำเคยทะยานขึ้นสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ที่ $2075 ได้เมื่อเดือนสิงหาคม แต่หลังจากที่วัคซีนต้านโควิดถือกำเนิดขึ้น ราคาทองคำก็เข้าสู่สภาวะขาลงนับจากนั้น ราคาทองคำได้ปรับตัวลงมาตลอดจนสามารถสร้างจุดต่ำสุดที่ $1,670 โดยประมาณและดีดตัวกลับขึ้นมายืนเหนือ $1,800 ได้ในปัจจุบัน
แม้ว่าการไต่ขึ้นมายืนเหนือ $1,800 ครั้งนี้จะใช้ความพยายามนานถึงสิบสัปดาห์ แต่นักวิเคราะห์บางส่วนก็ยังไม่เชื่อว่าแนวรับ $1,800 จะสามารถตรึงขาขึ้นครั้งนี้ได้จริง นาย Phillip Streible หัวหน้านักวิเคราะห์จากบริษัท Blueline Futures เมืองชิคาโกได้ให้สัมภาษณ์กับ investing.com เมื่อวานนี้ว่า
“ตอนนี้ผมยังไม่เชื่อจริงๆ ว่าทองคำจะสามารถยืนเหนือ $1,800 ได้อย่างมั่นคง ผมต้องการรอดูแท่งเทียนสามารถปิดเหนือ $1,800 ไปอีกสักวันสองวันก่อนที่จะทำใจเชื่อได้ว่ามีโอกาสที่ทองคำจะกลับขึ้นไปยัง $1,900 ได้จริง ถ้าขึ้นไปแตะ $1,900 ได้เมื่อไหร่ ผมถึงจะเชื่อว่ามีโอกาสที่จะได้เห็นจุดสูงสุดที่ $2,000 อีกครั้ง นอกจากทองคำแล้ว สินค้าโภคภัณฑ์ประเภทอื่นอย่างเช่นทองแดงหรือถั่วเหลืองก็สามารถใช้คานความเสี่ยงจากปัญหาเงินเฟ้อได้เช่นกัน”
เงินเฟ้อยังเป็นตัวเร่งขาขึ้นทองราคาทองคำอยู่จริงหรือ
หากคุณเป็นนักลงทุนที่อยู่ในตลาดมายาวนาน คงจะต้องเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “เงินเฟ้อคือข่าวดีสำหรับทองคำ” มาบ้าง ตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์พื้นฐานที่เคยได้ร่ำเรียนกันมา ทองคำคือสินทรัพย์สำรองปลอดภัยประเภทหนึ่งและมักจะปรับตัวขึ้นเมื่อเศรษฐกิจเผชิญกับภาวะเงินเฟ้ออยู่เสมอ
ปัญหาก็คือว่าครั้งนี้มีนักลงทุนที่เจ็บตัวเพราะคำนี้อยู่เยอะพอสมควร ราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวขึ้นทันทีในทุกๆ ครั้งที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ออกมายืนยันว่าจะคงการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินเอาไว้และไม่คิดที่จะหยุดอัด QE แต่ที่น่าเจ็บใจคือสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ อย่างเช่นน้ำมันดิบ ไม้แปรรูปหรือแม้กระทั่งกาแฟกลับปรับตัวขึ้นอย่างสนุกสนาน
Ole Hansen หัวหน้านักวิเคราะห์ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ของธนาคาร Saxo วิเคราะห์ว่า
“การยืนเหนือ $1,800 ได้ถือเป็นความสำเร็จเพียงก้าวแรก จุดทำกำไรของขาขึ้นที่นักวิเคราะห์วางเอาไว้ยังไม่ถูกทดสอบเลยสักครั้ง ตอนนี้หากทองคำสามารถขึ้นมาแตะ $1,820 ได้แล้ว เป้าหมายแรกที่ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ก็คือ $1,851”
ที่มา: S.K. Dixit Charting
Sunil Kumar Dixit นักวิเคราะห์จาก S.K. Dixit Charting ประเทศอินเดียวิเคราะห์ว่าขาขึ้นครั้งนี้ทำได้ดีแล้วหากมองในแง่ของความพยายามสวนเทรนด์เดิม แต่จากจุดนี้ไปต่างหากที่จะเป็นตัววัดที่แท้จริงว่าราคาทองคำจะเลือกวิ่งไปในทิศทางไหน
“ตราบใดที่ทองคำยังสามารถยืนเหนือ $1,812 ได้ แนวโน้มขาขึ้นก็ยังถือว่าปลอดภัย แต่ถ้าลงมาวิ่งต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 5 EMA หรือ $1,805 เมื่อไหร่ มีโอกาสที่ราคาทองคำจะวิ่งลงไปยัง $1,798, $1,785 และ $1,770” Sunil Kumar Dixit กล่าว
“เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า” เขากล่าวต่อ “ระดับราคา $1,676 และ $1,677 ถือได้ว่าเป็นการฟอร์มตัวแบบ double-bottom ก่อนที่จะค่อยๆ ปรับตัวขึ้นยืนเหนือ $1,755 โดยที่เป้าหมายขาขึ้นครั้งนี้จะอยู่ที่ $1,830 (38.2% ของเครื่องมือ Fibonacci) หากทองคำสามารถขึ้นแตะ $1,830 ได้ มีโอกาสที่ราคาจะสามารถวิ่งขึ้นไปยัง $1,850 หรือที่เส้นค่าเฉลี่ย 200 SMA”
ไม่ใช่ทุกคนที่มองว่าขาขึ้นครั้งนี้คือแนวโน้มขาขึ้น
เมื่อมีคนที่เชื่อในฝั่งขาขึ้น ก็ต้องมีฝั่งที่มองว่าพฤติกรรมของราคาทองคำตอนนี้เป็นเพียงแค่การปรับฐานใหญ่ก่อนที่จะกลับเข้าสู่แนวโน้มขาลงเดิม หลังจากที่ทองคำขึ้นยืนเหนือ $1,800 ได้ไม่กี่ชั่วโมง นักวิเคราะห์จาก HSBC ก็ได้ปรับภาพวิเคราะห์ราคาทองคำให้ลงมาอยู่ในระดับ “กลาง” โดยให้เหตุผลว่าในไตรมาสถัดไปหรือในช่วงครึ่งปีหลังคงจะไม่ได้เห็นทองคำปรับตัวขึ้นมาอีก
นักวิเคราะห์จาก HSBC ให้เหตุผลว่า
“หากพิจารณากราฟผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีจะเห็นว่าเปอร์เซ็นต์ผลตอบแทนได้ปรับลดลงมาจาก 1.75% ในช่วงสิ้นเดือนมีนาคมเหลืออยู่ที่ 1.6% โดยประมาณ นี่คือสัญญาณบอกว่าความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อกำลังค่อยๆ ลดลง พฤติกรรมเช่นนี้ของกราฟผลตอบแทนฯ ยังสอดคล้องกับการวิเคราะห์ของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มองว่าอัตราเงินเฟ้อตอนนี้เป็นสถานการณ์ชั่วคราว”
“ผมขอสรุปว่า” เขากล่าวต่อ “ในระยะสั้นเราได้ปรับแนวโน้มของทองคำลงมาอยู่ในระดับ‘กลาง’เพราะเราไม่เห็นปัจจัยหนุนราคาทองคำในช่วงระยะเวลา 3-6 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตราบใดที่กราฟผลตอบแทนพันธบัตรฯ ยังคงอยู่ในระดับสูงเช่นนี้อยู่”
นักวิเคราะห์จาก IG Client Sentiment ให้ข้อมูลว่าตอนนี้นักลงทุนในตลาดทองคำ 81.24% ต่างพากันถือคำสั่งซื้อทองคำกันหมด แต่ในมุมมองของบริษัทกลับมีความเห็นต่างออกไป พวกเขามีข้อมูลที่ทำให้เชื่อได้ว่านักลงทุนทองคำที่นับเฉพาะสัปดาห์นี้มีจำนวนลดลงเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อน
การวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญถือเป็นความเชื่อส่วนบุคคล เป็นหน้าที่ของนักลงทุนเองที่จะเชื่อในมุมมองของฝ่ายไหนมากกว่ากัน แต่สำหรับความเป็นในปัจจุบันนี้ ราคาทองคำยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น กราฟซื้อขายทองคำล่วงหน้าบนตลาด NYMEX ยังคงวิ่งอยู่ที่ $1,820 ย่อตัวลงมาจากจุดสูงสุด $1,822 เล็กน้อย ในขณะที่ราคาทองคำสปอตนั้นมีราคาซื้อขายเดียวกันกับทองคำล่วงหน้า
จงระวังการรายงานตัวเลขการจ้างงานฯ ของสหรัฐฯ
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนทองคำฝั่งไหน สิ่งที่พวกคุณต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมากคือการรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (NFP) ประจำเดือนเมษายนของสหรัฐอเมริกาที่จะประกาศออกมาในวันนี้เวลา 19:30 น. ตามเวลาประเทศไทย ตัวเลขการจ้างงานฯ จะสร้างผลกระทบต่อตลาดลงทุนเป็นอย่างมาก ยิ่งออกมาดี ก็ยิ่งจะกดดันราคาทองคำให้ปรับตัวลดลง ในช่วงสามเดือนล่าสุดที่มีการประกาศ NFP ตัวเลขดังกล่าวสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง และวันนี้นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์กันว่า NFP จะเพิ่มขึ้นจาก 916,000 ตำแหน่งในเดือนมีนาคมขึ้นเป็น 978,000 ตำแหน่งในเดือนเมษายน
Thomas Westwater นักวิเคราะห์จาก DailyFX วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง NFP กับพฤติกรรมทองคำว่า
“เหตุผลที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ยังปล่อยให้มีการทำ QE ต่อไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ได้รับกระแสกดดันจากนักลงทุนเพราะเฟดต้องการที่จะให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้เร็วที่สุด หนึ่งในมาตรวัดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจก็คือตัวเลขการจ้างงานจาก NFP ดังนั้นยิ่งตัวเลข NFP ออกมาสูงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะกดดันราคาทองคำมากเท่านั้น”
ขาขึ้นของทองคำจาก $1,500 ถึงไปเกือบถึง $2,100 เมื่อปีที่แล้วเกิดจากความกังวลเงินเฟ้อเพราะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า $3.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ แต่ถ้าวันนี้ตัวเลขการจ้างงานเพิ่มขึ้นเกินกว่าตัวเลขที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ราคาทองคำจะถูกแรงกดดันจากข่าวดีนี้เข้ามากดให้ปรับตัวลดลง แต่ในระยะยาวหากโจ ไบเดนยังต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อ (ตอนนี้เขากำลังยื่นแผน $2.2 ล้านล้านเหรียญให้กับสภาคองเกรส) ราคาทองคำก็ยังมีโอกาสที่จะกลับขึ้นไปยืนเหนือ $2,000 ได้ไม่ช้าก็เร็ว