ราคา Bitcoin ร่วงลงไปหนักถึงเกือบ -20% หลังกระทรวงการคลังสหรัฐขู่ตรวจจับการฟอกเงินผ่าน Cryptocurrency !
เราควรต้องกลัวไหมที่ Bitcoin จำนวนมากยังอยู่ในมือกลุ่มคนเพียงไม่กี่คน ? กลุ่มคนพวกนี้กำลังรุมปั่นและทุบราคาหรือไม่ ?
1️. ทำไมราคา Bitcoin ถึงร่วงลงมา ?
ในที่สุดข่าวก็ออกมาแล้วว่าสาเหตุที่นักลงทุนรายใหญ่รุมขาย Bitcoin จนราคาร่วงลงมาจากระดับ 60,000 เหรียญลงมาแตะระดับ 50,000 เหรียญ หรือร่วงลงมาเกือบ -20% นับเป็นการร่วงครั้งที่รุนแรงที่สุดในรอบ 2 เดือน ก็เพราะว่า กระทรวงการคลังสหรัฐขู่ตรวจจับการฟอกเงิน ผ่าน Cryptocurrency !
นี่เป็นข่าวที่นักลงทุน Bitcoin ทุกท่านควร ต้องจับตามอง ต่อไปอย่างยิ่งว่าจะบานปลายไปถึงไหม ? จะมีการเข้ามาควบคุม Bitcoin มากขึ้นขนาดไหน ?
2️. เราควรต้องกลัวไหม ที่ Bitcoin จำนวนมากยังอยู่ในกลุ่มคนไม่กี่คน ?
ตั้งแต่เริ่มเขียนบทความเรื่อง Bitcoin ทั้งหมดมาและอ่านคอมเม้นท์ทั้งหมดแล้ว นอกจากเรื่องการที่ทุกคนจะมองว่ามันเป็นฟองสบู่ทิวลิปแล้ว ดูเหมือนว่าอีกคำถามที่มีคนกังวลไม่แพ้กันคือเรื่องการที่ "Bitcoin จำนวนมากยังอยู่ในกลุ่มคนเพียงไม่กี่คน"
และเมื่อเช้ามันก็แสดงให้เราเห็นแล้วว่าเมื่อใดที่ผู้เล่นรายใหญ่เทขาย ตลาดก็สามารถปรับตัวลงรุนแรงได้ตลอดเวลา
วันนี้ทางเราจะพยายามมาตอบคำถามดูว่าสิ่งนี้นั้นน่ากังวลหรือไม่ ?
3️. ความเห็นส่วนตัวของแอด และไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุนคือ
เมื่อคิดเผินๆตอนแรกเรื่องนี้ก็ฟังดูน่ากลัว แต่ถ้าเราพยายามเจาะเข้าไปในรายละเอียดและชั่งเหตุและผลดูแล้ว เรื่องนี้ดูเหมือนไม่น่าจะต้องกังวลมากไปจนทำให้เราจะไม่กระจายความเสี่ยงการลงทุน ไปยัง Bitcoin
อย่างแรกเราคงต้องมาดูกันว่าตอนนี้มีใครเป็นผู้ถือ Bitcoin กันอยู่บ้าง ?
จากรายงานล่าสุดของ Bloomberg ที่ออกมาเมื่ออาทิตย์ก่อน (กราฟแนบในคอมเม้นท์) เราจะเห็นได้ว่าจากบัญชี Bitcoin ทุกบัญชีในโลกที่มีผู้ใช้งานร่วม 55 ล้านคนทั่วโลก เราสามารถแบ่งกลุ่มออกได้เป็นดังนี้
1) บัญชีที่มีมูลค่า Bitcoin สูงกว่า 10 ล้านเหรียญ (มากกว่า 300 ล้านบาท) = มีอยู่ 8 พันคน
2️) บัญชีที่มีมูลค่า Bitcoin สูงกว่า 1 ล้านเหรียญ (มากกว่า 30 ล้านบาท) = มีอยู่ 9 หมื่นคน
3️) บัญชีที่มีมูลค่า Bitcoin สูงกว่า 1 แสนเหรียญ (มากกว่า 3 ล้านบาท) = มีอยู่ 4 แสนคน
4️) บัญชีที่มีมูลค่า Bitcoin สูงกว่า 1 หมื่นเหรียญ (มากกว่า 3 แสนบาท) = มีอยู่ 2 ล้านคน
5️) บัญชีที่มีมูลค่า Bitcoin สูงกว่า 1 พันเหรียญ (มากกว่า 3 หมื่นบาท) = มีอยู่ 6 ล้านคน
6️) บัญชีที่มีมูลค่า Bitcoin สูงกว่า 100 เหรียญ (มากกว่า 3 พันบาท) = มีอยู่ 14 ล้านคน
7️) บัญชีที่มีมูลค่า Bitcoin สูงกว่า 1 เหรียญ (มากกว่า 30 บาท) = มีอยู่ 31 ล้านคน
ข้อมูลนี้ทำให้เราตั้งข้อสังเกตุได้ 2 อย่าง
1️) หากเรานำกลุ่มคนที่ถือ Bitcoin มูลค่ามากกว่า 300 ล้านบาท ที่ 8 พันบัญชี (ซึ่งจะเป็น 8 พันคนหรือป่าวไม่แน่ใจ อาจจะน้อยคนกว่านี้หรือส่วนมากอาจเป็นรูปของบริษัทก็ได้) แปลว่า 8 พันบัญชีนี้คิดเป็นสัดส่วนบัญชีเพียง 0.01% ของบัญชีทั้งหมดบนโลก
เราเรียกคนกลุ่มนี้ว่า Whale หรือปลาวาฬตัวใหญ่ในตลาดที่การซื้อขายเหรียญของพวกเขานั้นสามารถขยับตลาดได้
2️) บัญชีส่วนใหญ่ยังมีเงินอยู่ใน Bitcoin เป็นมูลค่าไม่มากนัก ทำให้เห็นว่าผู้ที่เข้าซื้อ Bitcoin จำนวนมากนั้นยังเป็นกลุ่มประชากรที่มีรายได้น้อย แต่มีความเชื่อว่า Bitcoin จะกลายมาแทนระบบการเงินในปัจจุบันที่พวกเขามีโอกาสไม่มากนักได้
หรือบางฝ่ายอาจมองว่าเขาเป็นกลุ่มคนที่ต้องการจะรวยทางลัด และอาจตกเป็นเหยื่อของ แชร์ลูกโซ่ ครั้งใหญ่นี้ได้ เราเรียกกลุ่มนี้ว่าเหล่ากุ้งหรือ Shrimp ในตลาด
ทั้ง 2 ข้อสังเกตุนี้น่าสนใจมาก แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงหัวข้อที่ 1 กันก่อน
4️. กลุ่มคน 8 พันบัญชีนี้เป็นใครกันบ้าง ?
กลุ่มคนส่วนใหญ่ที่ถือครอง Bitcoin ในสัดส่วนที่สุดนั้นส่วนมากจะมาจาก
1️) Bitcoin Miner - กลุ่มคนหรือบริษัทที่ทำการขุด Bitcoin
2️) Exchange - หรือเหล่าบริษัทที่ทำ platform กระดานซื้อขาย Crypto
3️) นักลงทุนสถาบันหรือบริษัทใหญ่ๆที่ทยอยเข้ามาซื้อ Bitcoin เก็บเข้าเป็นสินทรัพย์
4️) กลุ่มเศรษฐี หรือคนรวยทีต้องการเก็บเงินในรูปแบบของ Bitcoin
5️) กลุ่มผู้ที่ก่อตั้งเหรียญ Crypto ต่างๆที่อาจเก็บทั้งเหรียญ Crypto อื่นๆและ Bitcoin ไว้ด้วยเป็นจำนวนมาก
จากข้อมูลนี้อาจจะทำให้หลายคนโล่งใจได้ไปเปราะนึง เพราะแปลว่ากลุ่มคนจำนวนนี้ไม่ได้เป็นคนๆเดียวกัน ไม่ได้เป็นเพื่อนกันโดยตรง และไม่น่าจะมีการสื่อสารกันได้ว่าเราจะเทขาย Bitcoin ออกมาพร้อมๆกัน
แต่จริงอยู่ว่ากลุ่มคนด้านบนนั้นสามารถออกมาปั่นราคา Bitcoin ด้วยข่าวต่างๆได้ เพราะเหล่ากลุ่มคนและบริษัทด้านบนนั้นมีส่วนได้ส่วนเสียกับราคา Bitcoin โดยตรงอย่างชัดเจน
ทำให้พวกเราต้องระวังไว้ว่า เวลาที่เหล่าบริษัทที่ขุด Bitcoin, บริษัทที่ทำ platform การซื้อขาย Crypto หรือกลุ่มเศรษฐีเหล่านี้ออกมาพูดเรื่องราคา Bitcoin เพราะพวกเขาอาจจะมีความ Bias หรือให้ความเห็นที่เอนเอียงได้
5️. อย่างไรก็ตามการถือ Bitcoin ของคนกลุ่มนี้กำลังค่อยๆลดลง และการถือ Bitcoin กำลังกระจายไปสู่กลุ่มคนส่วนใหญ่มากขึ้นทุกวัน
จากกราฟที่เราแนบให้อีกอันในคอมเม้นท์นั้นจะชี้ให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า สุดท้ายแล้วจำนวนของ Bitcoin กำลังไหลเข้าสู่รายย่อยมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ยิ่งวันพลังในการจะพยายามเทขาย Bitcoin ของรายใหญ่นั้นจะลดลงเรื่อยๆ
อย่างเช้านี้ก็เป็นตัวอย่างที่ดี เมื่อรายใหญ่ขายกดราคาแต่รายย่อยกำลังรุมเข้าซื้อเพื่อพยุงตลาดไว้ ราคาก็ดีดกลับขึ้นมาอีกครั้ง
และเมื่อเวลาผ่านไปหากรายใหญ่ไม่สามารถเทขายกดราคา Bitcoin ลงมาได้ ความยอมรับของบิทคอยน์อาจจะสูงขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายจะยิ่งมีรายย่อยเดินเข้ามาในตลาดมากขึ้น จน Bitcoin อาจกลายมาเป็นสินทรัพย์ของทุกคนบนโลกอย่างเต็มรูปแบบ และวันนั้นคำถามว่าราคา Bitcoin จะเป็นแชร์ลูกโซ่นั้นคงจบไป เพราะทุกคนบนโลกได้เข้ามาอยู่บนแชร์ลูกโซ่นี้แล้ว
"มันอาจะกลายภาพจากระบบแชร์ลูกโซ่มาเป็นระบบการฝากเงินหมุนเวียนกันของคนบนโลกนี้"
6️. ลองมาวิเคราะห์กันต่อ หากว่าคนกลุ่มน้อยนี้มีความต้องการจะจะเทขาย Bitcoin ทั้งหมดออกมา ต้องการจะทำให้รายย่อยติดดอยจนกลายเป็นแชร์ลูกโซ่จริงๆ พวกเขาจะสามารถทำได้ไหม ?
อย่างที่เรียนไปยิ่งวันพลังของคนกลุ่มนี้กำลังเริ่มลดลงไปทุกๆวัน จนส่วนตัวแอดเชื่อว่าพวกเขาคงไม่สามารถทำได้แล้ว พวกเขาไม่น่าจะมีทางกดราคา Bitcoin จนหล่นไปเหลือ 0 ได้อีกต่อไปแล้ว
แต่คำถามที่สำคัญกว่านั้นคือ "พวกเขาจะทำแบบนั้นไปทำไม ? มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาควรจะถล่มตลาด ?"
1️) ยกตัวอย่างง่ายๆ ทุกวันนี้เรามีสถานการณ์นึงที่คล้ายๆกับ Bitcoin ในตลาดน้ำมันนั้นก็คือ การที่กลุ่ม OPEC กำลังคุมกำลังการผลิตน้ำมันส่วนใหญ่บนโลกนี้
สัดส่วนน้ำมันที่กลุ่มโอเปกมีอยู่ใต้ดินหรือครอบครองอยู่นั้นสูงกว่า 80% ของโลกด้วยซ้ำ ! หรือเรียกได้ว่ามีสัดส่วนสูงกว่ากลุ่มคนรวยที่ถือ Bitcoin เสียอีก แต่ถามว่าทางกลุ่มโอเปกมีความต้องการที่จะกดตลาดให้ราคาน้ำมันลงมาเหลือ 0 หรือ ?
ไม่เลยทางกลุ่มโอเปกกลับกังวลกับการที่ราคาน้ำมันจะลงมาถูกไปด้วยซ้ำ เพราะกลัวขายของออกไปได้ในราคาไม่แพง
ทางแอดคิดว่ากลุ่มคนที่ถือ Bitcoin ส่วนใหญ่ก็มีความเห็นเช่นเดียวกัน พวกเขาคงมีความต้องการที่จะกระจายและขาย Bitcoin ไปให้คนหมู่มากให้เยอะที่สุด มากเสียกว่าการพยายามจะเทขาย Bitcoin ออกมาให้หมด ทำให้พวกเขาจะเป็นคนที่ต้องระวังไม่ให้ Bitcoin ราคาลดลง และต้องการจะทำให้ Bitcoin กลายมาเป็นสินทรัพย์ใหม่ของโลกเราอย่างสมบูรณ์
2️) หากเราถือสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มราคาสูงขึ้นเรื่อยๆในอนาคต เราจะขายออกไปทำไม ?
ยกตัวอย่างเช่นหุ้น Tesla (NASDAQ:TSLA) หรือ Amazon พวกเราเคยเห็น Elon Musk หรือ Jeff Bezos ออกมาขายหุ้นหลังจากราคาพุ่งขึ้นมาหลายพัน % แล้วไหม ? ทั้งๆที่พวกเขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
ไม่เลยครับ พวกเขาไม่เคยคิดที่จะขายหุ้นออกมาถล่มรายย่อยเลย เพราะพวกเขาเชื่อในการเติบโตของบริษัทหรือราคาหุ้นของเขา
เช่นเดียวกับกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่ถือ Bitcoin พวกเขาก็ไม่ได้มีความต้องการที่จะขาย Bitcoin ที่มีแนวโน้มราคาพุ่งสูงขึ้นทุกวันออกมาแน่ๆ
7️. เราเลือกไม่ได้ที่จะให้ทุกๆคนบนโลกนี้มีทรัพยากรที่เท่าๆกัน
ถึงแม้หลายคนอาจมองว่าการเข้าซื้อ Bitcoin ในวันนี้นั้นไม่แฟร์เอาเสียเลย เราต้องเข้าซื้อที่ราคาสูงกว่ากลุ่มคนเหล่านั้นในอดีตที่ถือราคาต้นทุนเหรียญมาต่ำกว่าราคาวันนี้หลายพันเท่า แต่นั้นมันก็เป็นกลไลตามธรรมชาติของโลกเรา ไม่ใช่หรอครับ
"อย่าเอาเหตุผลการที่มันไม่แฟร์มาเป็นเหตุผลในการไม่ศึกษา Bitcoin เลยเถอะ"
ยกตัวอย่างเรื่องน้ำมันไปแล้ว ทรัพยากรที่เป็นที่ต้องการของคนทั่วโลก ก็ไม่ใช่ว่าทุกๆประเทศจะได้ส่วนแบ่งเท่าๆกัน มันมีบางประเทศที่อาจโชคดีได้เกิดมาบนกองน้ำมัน แต่บางประเทศอาจไม่มีเลย...
แต่ก็ไม่ใช่ว่าประเทศที่ไม่มีน้ำมันจะมาบอกได้ว่า "ถ้างั้นเราจะไม่ใช้น้ำมันแล้วกัน" เพราะเราโชคไม่ดีเลยที่ไม่ได้มีน้ำมันไว้แต่แรก
ในเมื่อสุดท้ายน้ำมันเป็นที่ใช้กันทั่วโลก เหล่าประเทศที่ไม่มีน้ำมันเป็นของตัวเองก็ต้องพยายามขายทรัพยากรอื่นๆเพื่อมาซื้อน้ำมันอยู่ดี หรือหลายประเทศที่มองการไกล ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้เกิดมาบนบ่อน้ำมันก็จึงพยายามกระจายการลงทุนเข้าไปลงทุนในการขุดเจาะน้ำมันในต่างประเทศตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งนั้นอาจเป็นทางออกในการบริหารความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่เราไม่มี มากกว่าการปฏิเสธที่จะไม่ศึกษาหรือใช้มัน
8️. ยังมีทรัพยากรอีกมากมายบนโลกที่แต่ก่อนเริ่มต้นด้วยกลุ่มคนไม่กี่คนเป็นเจ้าของ แต่ทุกวันนี้มันก็กระจายไปสู่มือคนทั่วโลกจนกลายมาเป็นเรื่องปกติแล้ว หากว่าสิ่งนั้นมีคุณค่า"
ไม่ว่าจะเป็นที่ดินหรือหุ้นต่างๆที่พวกเราเลือกที่จะลงทุนกัน ในสมัยเริ่มแรกนั้นมันก็มาจากการที่คนกลุ่มเล็กๆเป็นเจ้าของ แต่ยิ่งวันถ้ามันยิ่งกระจายตัวออกไป มันก็จะสามารถเกิดการยอมรับในวงกวัางกันขึ้นได้
9️. หากจะลงทุนระยะยาวใน Bitcoin เราต้องรับความผันผวนให้ได้
Bitcoin จะเป็นสิททรัพย์ที่มีวงจรขึ้นและลง (Boom and Bust Cycle) เป็นธรรมชาติของมันไป หากใครที่เชื่อมั่นว่า Bitcoin จะสามารถเข้ามาแทนที่ทองคำในการเป็น Digital Gold 2.0 ได้ ก็ควรที่จะลงทุนระยะยาวมากกว่าเพียงแค่การเก็งกำไรระยะสั้น
การลงทุนระยะยาวใน Bitcoin นั้นควรลงทุนบนสัดส่วนที่เหมาะสม โดยเฉพาะการถือไปคู่กับการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศด้วย นั้นเป็นสิ่งที่จะช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตรวมได้ดีมากกว่าการถือ Bitcoin เพียงอย่างเดียว ลองเริ่มต้นด้วยปริมาณ 1%-2% ของพอร์ตดู อย่ามากกว่านั้นและค่อยๆปรับอัตราส่วนไปตามมุมมอง
เราไม่สามารถกำหนดทิศทางของตลาดได้ แต่เราสามารถกำหนดปริมาณเงินและแผนในการเข้าออกตลาดที่จะไม่ทำให้กระทบต่อพอร์ตโดยรวมของเราได้
10. หวังว่าบทความนี้จะตอบคำถามทุกท่านแล้วว่า "ทำไมการไม่ศึกษา Bitcoin ถึงอาจเป็นความเสี่ยง" และทำไมการถือ Bitcoin ในสัดส่วนที่ถูกต้องอาจจะเป็นการกระจายความเสี่ยงมากกว่าการเพิ่มความเสี่ยงของพอร์ตรวมของคุณ
ปล. นี่ไม่ได้เป็นคำแนะนำในการลงทุน เป็นเพียงมุมมองส่วนตัว ที่อยากช่วยเสริมเป็นข้อมูลให้ทุกท่านก่อนตัดสินใจศึกษาและลงทุนด้วยตัวเอง
ติดตามข่าวสารการลงทุนที่น่าสนใจไปกับ Facebook fanpage ทันโลกกับTraderKP
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่ Facebook fanpage ทันโลกกับTraderKP