ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง สังเกตได้จากการปรับตัวขึ้นสร้างจุดสูงสุดใหม่ของดัชนีหลักๆ อย่างเช่นดัชนีเอสแอนด์พี 500 และดาวโจนส์ ในขณะเดียวกันก็พบว่าดัชนีหลักอื่นอย่างเช่นแนสแด็กและรัสเซล 2000 แม้จะไม่สามารถทำจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ได้ แต่ก็ยังปิดสัปดาห์ด้วยการทำราคาปิดที่สูงขึ้น นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนเข้าสู่เทศกาลการรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2021 ที่จะเริ่มขึ้นในวันพุธที่ 14 เมษายนนี้
จากเหตุการณ์ที่เกิดขี้นทำให้เห็นได้เลยว่านักลงทุนในตลาดปัจจุบันไม่ได้สนใจความเป็นไปได้ที่จะเกิดปัญหาเงินเฟ้อแล้ว พวกเขาให้ความสำคัญกับปัจจุบันว่าจะสามารถทำกำไรจากเทรนด์การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจอเมริกาได้อย่างไร กลุ่มหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดของสัปดาห์ที่แล้วได้แก่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี (โดยเฉพาะบริษัทยักษ์ใหญ่) และหุ้นกลุ่มพลังงาน นับตั้งแต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ธีมการฟื้นตัว การขึ้นลงระหว่างหุ้นสองกลุ่มนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างเห็นได้ชัด นักลงทุนที่เคยจับหุ้นเทคโนโลยีไว้ในช่วงโควิดได้หันไปหากลุ่มพลังงานเดิมที่เคยได้รับผลกระทบในปี 2020 และนั่นคือเหตุผลที่หุ้นเทคฯ ปรับตัวลงตั้งแต่เข้าสู่ปี 2021
ในช่วง 6 เดือนล่าสุดพบว่าหุ้นกลุ่มพลังงานได้ทะยานขึ้นมามากถึง 56.5% สร้างขาขึ้นที่แสดงถึงการฟื้นตัวได้ชัดเจนมากกว่าหุ้นในกลุ่มอื่นๆ รวมถึงกลุ่มเทคฯ ด้วยซึ่งปรับตัวขึ้นมาได้เพียง 18% คิดเป็นอัตราส่วนการฟื้นตัวมากกว่า 3:1 ในช่วง 3 เดือนล่าสุดก็ยังพบว่าหุ้นกลุ่มพลังงาน ปรับตัวขึ้นมาได้ 16.3% เทียบกับกลุ่มเทคโนโลยีที่ขึ้นมาได้เพียง 8.4% เท่านั้น ก่อนที่จะมาเสียตำแหน่งผู้นำในสัปดาห์ที่แล้วด้วยการปรับตัวลดลง 4.2% ในขณะที่หุ้นกลุ่มเทคฯ ปรับตัวขึ้นมา 4.7%
การปรับตัวลดลงของหุ้นกลุ่มพลังงานท่ามกลางการเติบโตของเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกานั้นมีสาเหตุอยู่ ถึงสหรัฐฯ จะฟื้นตัวได้ดี แต่ในทางเทคนิคแล้วการฟื้นฟูกำลังการผลิตพลังงานให้กลับมาเท่าเดิมนั้นยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะ นอกจากนี้หุ้นกลุ่มพลังงานยังได้รับแรงกดดันจากนโยบายสนับสนุนพลังงานสะอาดของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไม่ใช่แค่กลุ่มพลังงานเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ เรายังพบว่าหุ้นในกลุ่มการเงินที่ปรับตัวขึ้นลงตามอัตราดอกเบี้ยก็มีลักษณะการวิ่งเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่คล้ายกัน
เราจะเทียบหุ้นในกลุ่มการเงินกับกลุ่มเทคฯ ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เทียบกลุ่มพลังงานกับเทคโนโลยี ในช่วง 6 เดือนล่าสุด เราพบว่าหุ้นกลุ่มการเงินซึ่งถือเป็นกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นได้ดีเป็นอันดับสองรองจากหุ้นกลุ่มพลังงาน หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวขึ้นมา 39.3% เทียบกับกลุ่มเทคโนโลยี 18% ในช่วง 3 เดือนล่าสุดพบว่ากลุ่มการเงินยังนำเทคฯ อยู่ด้วยขาขึ้น 13.7% เทียบกับเทคฯ 8.4% จนกระทั่งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสามารถพลิกกลับมานำได้เมื่อเดือนที่แล้วด้วยผลงานขาขึ้น 9% เพิ่มขึ้นมากกว่ากลุ่มการเงินที่ทำได้ 3.9% เกือบสามเท่าตัว
แม้กระทั่งวันศุกร์ที่แล้วที่หุ้นทั้งสองมีการทำขาขึ้นที่ใกล้เคียงกันก็พบว่าหุ้นกลุ่มเทคฯ สามารถปรับตัวขึ้นมาได้ 1% ในขณะที่กลุ่มการเงินทำได้เพียง 0.9% เท่านั้น การทยอยเปลี่ยนขั้วของกลุ่มหุ้นยังทำให้เอสแอนด์พี 500 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สามติดต่อกัน กลายเป็นการปรับตัวขึ้นยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2020
นอกจากเอสแอนด์พี 500 แล้ว ดัชนีหลักอื่นๆ ก็มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ ดาวโจนส์สามารถขยับทำจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ได้เมื่อวันศุกร์ที่แล้วเนื่องจากหุ้นของบริษัท ‘ฮันนี่เวลล์’ (NYSE:HON) ได้รับการยกระดับขึ้นจากบรรดานักวิเคราะห์ ขาขึ้นของฮันนี่เวลล์นี้ช่วยชดเชยขาลงที่เกิดจากหุ้นโบอิ้ง (NYSE:BA) ที่ปรับตัวลดลงเพราะเครื่องบินรุ่น 737 MAX มีปัญหาในเรื่องของระบบพลังงานไฟฟ้าภายในตัวเครื่องบิน
ในบรรดาดัชนีหลักทั้งสี่ตัวของสหรัฐอเมริกา นอกจากเอสแอนด์พี 500 และดาวโจนส์ที่ได้พูดถึงไปแล้ว ยังมีแนสแด็ก 100 อีกหนึ่งตัวที่สามารถปิดบวกได้แม้จะไม่ได้สร้างจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลเหมือนกับเอสแอนด์พีและดาวโจนส์ มีเพียงรัสเซล 2000 เท่านั้นที่ปิดสัปดาห์ที่แล้วด้วยการติดลบ นักวิเคราะห์มองว่าสาเหตุที่รัสเซลมีลักษณะการวิ่งที่ต่างออกไปจากดัชนีทั้งสามเป็นเพราะตลาดเริ่มส่งสัญญาณที่เป็นผลกระทบจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในอนาคต
เมื่อวิเคราะห์กราฟของดัชนีรัสเซล 2000 ทางเทคนิคแล้วยังพบว่ารัสเซล 2000 ได้สร้างรูปแบบการวิ่งที่เป็นสัญญาณของการพักตัวมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
หากพิจารณาเฉพาะตัวกราฟจะเห็นว่าราคากำลังสร้างรูปแบบหัวไหล่ ในขณะที่อินดิเคเตอร์ RSI ได้ทำ ‘ไดเวอเจนต์ (Divergence)’ ที่แต่ละยอดใน RSI ย่อตัวลดต่ำลงเรื่อยๆ แล้วปัจจัยอะไรสนับสนุนให้รัสเซล 2000 มีโอกาสปรับตัวลดลง investing.com มองว่ามีความเป็นไปได้อยู่สองประการ
1. นักลงทุนบางส่วนปิดคำสั่งซื้อขายเพื่อทำกำไร
2. รัสเซลได้รับแรงกดดันจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังไม่มองว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อถือเป็นเรื่องที่ต้องกังวล
ขาขึ้นมากกว่า 85% ของรัสเซล 2000 ที่เกิดมาตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2020 ล้วนเป็นอานิสงส์จากคำมั่นสัญญาของเฟดที่สัญญาว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงทั้งนโยบายการเงินและดอกเบี้ยไปจนกว่าการจ้างงานจะกลับมาเต็มกำลัง (ในสายตาของเฟด) ช่วงแรกที่ตลาดเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนของเศรษฐกิจอเมริกา นักลงทุนก็เริ่มกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อ แต่ขาขึ้นในสัปดาห์ล่าสุดก็แสดงให้เห็นแล้วว่าตลาดกลับไปมีความเชื่อมั่นกับคำพูดของธนาคารกลางสหรัฐฯหรือว่าเฟดมากขึ้น
กราฟผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีเริ่มส่งสัญญาณว่าอาจจะไปได้ไม่ไกลกว่านี้ เมื่อวันพุธที่ผ่านมากราฟผลตอบแทนฯ ปรับตัวลดลงมาต่ำกว่าเส้นเทรนด์ไลน์ก่อนที่จะสามารถกลับขึ้นไปยืนเหนือเส้นดังกล่าวได้อีกครั้ง และวิ่งกลับลงมาอีกจนกระทั่งจบสัปดาห์ แรงขายที่เข้ามาในช่วงสัปดาห์ที่แล้วแสดงให้เห็นว่าแนวต้านที่บริเวณเทรนด์ไลน์เส้นข้างล่างของกรอบเทรนด์ไลน์ขาขึ้นจะกลายมาเป็นแนวต้านสำคัญในสัปดาห์นี้ แต่การที่ RSI ทำไดเวอเจนต์กับกราฟผลตอบแทนฯคือสัญญาณว่าสัปดาห์นี้อาจถึงคราวของขาลงเข้ามาคุมเกมบ้าง
เมื่อกราฟผลตอบแทนฯ ปรับตัวลดลง จึงไม่แปลกใจที่เราจะเห็นดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าตาม
กราฟดัชนีดอลลาร์สหรัฐลงมาเจอแนวรับที่บริเวณเส้น neckline ตามรูป เกิดเป็นแท่งเทียนรูปแบบค้อนคว่ำ (Inverted Hammer) ที่ปกติแล้วรูปแบบนี้จำเป็นต้องรอแท่งเทียนขาขึ้นตามมาเพื่อยืนยันการเป็นแนวโน้มขาขึ้น จุดที่น่าสังเกตคือการที่ RSI วิ่งหลุดเส้นเทรนด์ไลน์ลงมา ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนบางส่วนเชื่อว่าสัปดาห์นี้ดอลลาร์จะอ่อนค่าลงต่อ หากลงมาได้จริง เราประเมินว่า RSI อาจวิ่งลงมาถึง 39.50 จุด
ทองคำเกาะอยู่ที่บริเวณแนวต้านใกล้กับ $1,754 รอปรับตัวขึ้นต่อในสัปดาห์นี้
นักลงทุนขาขึ้นกลับมาเชื่อมั่นในสินทรัพย์สำรองปลอดภัยอย่างทองคำอีกครั้ง สังเกตได้จากพฤติกรรมราคาที่สามารถทะลุกรอบขาลงสำคัญ ขึ้นมาจนติดแนวต้านในปัจจุบัน อินดิเคเตอร์ RSI ล่วงหน้าทะลุแนวต้านขึ้นไปก่อนราคาแล้ว เชื่อว่าสัญญาณนี้จะทำให้นักลงทุนขาขึ้นมีความมั่นใจมากกว่าเดิมในสัปดาห์นี้
อย่างไรก็ตาม ทองคำยังมีจุดสำคัญที่จะเป็นตัวชี้ว่าราคาเลือกอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลงนั่นคือการขึ้นยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน ตราบใดที่ยังไม่สามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยนี้ได้ เราขอมองว่าขาขึ้นในช่วงนี้เป็นเพียงการย่อขึ้นมาเพื่อปรับตัวลงต่อตามแนวโน้มใหญ่เอาไว้ก่อน
ราชาแห่งสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ปรับตัวกลับขึ้นมาทดสอบระดับแนวต้าน $60,000 อีกครั้งแต่ยังไม่สามารถขึ้นยืนเหนือได้
การเกิดไดเวอร์เจนต์ระหว่างตัวกราฟบิทคอยน์กับ RSI อาจทำให้นักลงทุนบางส่วนยังไม่กล้าเดิมพันกับขาขึ้นครั้งนี้ ทุกฝ่ายต่างก็กำลังรอสัญญาณลั่นไกที่จะพาบิทคอยน์ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ได้ เราให้แนวรับของบิทคอยน์ในช่วงนี้เอาไว้ที่ $54,000
การที่กลุ่มโอเปกพลัสเริ่มเพิ่มความระมัดระวังในการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันมากขึ้นทำให้ขาขึ้นของราคาน้ำมันดิบ WTI ชะลอตัว
กราฟน้ำมันดิบ WTI วิ่งแบบพักฐานอยู่ในกรอบรูปธงขาขึ้นในขณะที่ RSI ได้ล่วงหน้าหลุดกรอบปรับฐานของตัวเองลงมาแล้ว หากราคาน้ำมันดิบหลุดลงมาตาม RSI การสร้างรูปแบบหัวไหล่ของน้ำมันดิบ WTI จะถือว่าเสร็จสมบูรณ์
ข่าวเศรษฐกิจสำคัญประจำสัปดาห์ (เวลาทั้งหมดคำนวณเป็น EDT)
วันจันทร์
23:00 (ประเทศจีน) รายงานตัวเลขดุลบัญชีการค้า: คาดว่าจะลดลงจาก $103.25B เป็น $52.55B
วันอังคาร
02:00 (สหราชอาณาจักร) รายงานตัวเลข GDP: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -2.9% เป็น 0.6%
04:30 (สหราชอาณาจักร) รายงานตัวเลขผลผลิตจากภาคอุตสาหกรรม: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -2.3% เป็น 0.5%
05:00 (เยอรมัน) รายงานตัวเลขความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจจาก ZEW: คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 76.6 เป็น 79.5
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 0.1% เป็น 0.2%
22:00 (นิวซีแลนด์) รายงานผลการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางนิวซีแลนด์: คาดว่าจะคงที่ 0.25%
วันพุธ
10:30 (สหรัฐฯ) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง: ตัวเลขของสัปดาห์ที่แล้วลดลง -3.522M
21:30 (ออสเตรเลีย) รายงานตัวเลขอัตราการจ้างงาน: คาดว่าจะลดลงจาก 88.7K เป็น 35.0K
วันพฤหัสบดี
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขยอดค้าปลีกพื้นฐาน: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -2.7% เป็น 4.8%
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก: คาดว่าจะลดลงจาก 744K เป็น 700K
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขภาคการผลิตจากเฟดฟิลาเดเฟีย: คาดว่าจะลดลงจาก 51.8 เป็น 43.0
22:00 (ประเทศจีน) รายงานตัวเลข GDP: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 6.5% เป็น 18.8%
22:00 (ประเทศจีน) รายงานตัวเลขผลผลิตจากภาคอุตสาหกรรม: คาดว่าจะลดลงจากครึ่งหนึ่งจาก 35.1% เป็น 15.6%
วันศุกร์
05:00 (ยูโรโซน) รายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค: คาดว่าจะคงที่ 1.3%
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขจำนวนการอนุญาตก่อสร้าง: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 1.72M เป็น 175M