-
สัปดาห์ที่ผ่านมา เศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนผ่านยอดการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นดีกว่าคาด
-
คาดว่า IMF อาจปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกดีขึ้น หนุนโดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯและจีนที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ ควรติดตามสถานการณ์การระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 ที่ยังคงเป็นความเสี่ยงหลักของเศรษฐกิจโลก
-
เงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้น ตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ชี้จากการที่ IMF ปรับประมาณการเศรษฐกิจดีขึ้นจากเดิม อย่างไรก็ดี ควรระวังแรงซื้อสกุลต่างประเทศเพื่อจ่ายปันผลซึ่งอาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง โดยธุรกรรมจ่ายปันผลอาจทำให้เงินบาทอ่อนค่าได้มาก หากเกิดขึ้นพร้อมกับช่วงที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและราคาทองคำก็ย่อตัวลง
-
กรอบเงินบาทสัปดาห์นี้ 31.15-31.50 บาท/ดอลลาร์
-
ฝั่งสหรัฐฯ – การเร่งแจกจ่ายวัคซีนจะช่วยส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวแข็งแกร่ง โดยตลาดประเมินว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคการบริการจะคึกคักขึ้น สะท้อนผ่าน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) ในเดือนมีนาคม ที่จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 59 จุด จาก 55.3 จุด ในเดือนก่อน นอกจากนี้ ภาพการฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีขึ้นกว่าคาด จากทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่และการเร่งแจกจ่ายวัคซีน จะทำให้ IMF ปรับประมาณการอัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีนี้ เพิ่มขึ้นเป็น +5.5% จากคาดการณ์เดิมในเดือนมกราคม (+5.1%) อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวดีขึ้นกว่าคาด อาจทำให้ IMF แสดงความกังวลว่า นโยบายการเงินสหรัฐฯ อาจเข้มงวดขึ้นเร็วกว่าคาด ทำให้ตลาดการเงินปั่นป่วนและเกิดแรงเทขายสินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่ได้
-
ฝั่งยุโรป – แม้ว่า แนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจยุโรปอาจดูไม่สดใสนัก ทว่านักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อการลงทุนในยุโรป สะท้อนผ่าน Sentix Investor Confidence ที่จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 6.7 จุด หนุนโดยการปรับเปลี่ยนกลุ่มหุ้นลงทุน (Style & Sector Rotation) ที่จะเน้นลงทุนหุ้นในกลุ่ม Cyclical Value มากขึ้น
-
ฝั่งเอเชีย – เศรษฐกิจจีนยังคงมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคการบริการที่จะสามารถขยายตัวในอัตราเร่ง สะท้อนผ่าน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (Services PMI) โดย Caixin ในเดือนมีนาคม ที่จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 52 จุด อย่างไรก็ดี ประเทศอื่นๆ ในโซนเอเชีย-แปซิฟิก อาจมีการฟื้นตัวที่แตกต่างกัน จากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ซึ่งสำหรับประเทศอินเดีย สถานการณ์การระบาดที่ยังคงรุนแรงอยู่และมาพร้อมกับการเร่งตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น อาจทำให้ ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) จำเป็นต้องคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Repo Rate) ไว้ที่ระดับ 4.00% ขณะที่ ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.10% หลังเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้นจากผ่อนคลายมาตรการ Lockdown
-
ฝั่งไทย – ตลาดคาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เดือนมีนาคม จะเร่งตัวขึ้นสู่ระดับ 0.21% จากระดับ -1.17% ในเดือนก่อน หนุนโดยราคาน้ำมันดิบที่จะปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อนมาก ทว่า มาตรการช่วยค่าใช้จ่ายครัวเรือน อาทิ ค่าน้ำ ค่าไฟ จะเป็นปัจจัยที่กดดันให้เงินเฟ้อไม่เร่งตัวสูงขึ้นมากนัก
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก