“เน้นมูลค่าและการเติบโต” นี่คือสองคำยอดฮิตที่เรามักจะได้ยินกูรูสายการเงินพูดถึงอยู่บ่อยๆ และเป็นเป้าหมายสูงสุดที่นักลงทุนทุกคนเฝ้าใฝ่หา เพราะสไตล์การลงทุนถือเป็นเรื่องสำคัญและสามารถสร้างผลกระทบระยะยาวให้กับพอร์ตการลงทุนได้ ดังนั้นเหล่ากูรูส่วนใหญ่จึงพยายามแนะนำให้เหล่าสาวกพยายามหารูปแบบการลงทุนที่สามารถทำได้ทั้งกระจายความเสี่ยงและสอดคล้องไปกับการเติบโตในระยะยาว
บริษัทที่เน้นการเติบโตเป็นหลักมักจะถูกคาดหวังให้สามารถสร้างผลตอบแทนกลับคืนมาได้เร็ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือนักลงทุนรายย่อยทุกคนก็จะคิดเช่นเดียวกันและทำให้มูลค่าของหุ้นนั้นมักจะอยู่สูงเกินกว่าที่นักลงทุนธรรมดาๆ คนหนึ่งจะสามารถครอบครองได้
ในขณะที่มองไปอีกด้านหนึ่ง หุ้นสายเน้นมูลค่ามักจะเป็นหุ้นที่คนทั่วไปมักจะไม่เห็นความสำคัญเพราะมักเป็นหุ้นที่มีความอ่อนไหวกับข่าวและปัจจัยพื้นฐานได้ง่าย นอกจากนั้นแล้วผลตอบแทนที่มักจะได้จากหุ้นเหล่านี้มักจะ “ถูก” ในสายตานักลงทุนเช่นมีมูลค่าบัญชีต่อหุ้น มีค่า PE ค่ากำไรต่อหุ้นต่ำเป็นต้น
แต่เชื่อหรือไม่ว่าในขณะที่ผู้คนค่อนข้างที่จะดูถูกหุ้นสายเน้นมูลค่า แต่หุ้นสายนี้กลับสร้างนักลงทุนในตำนานที่นักลงทุนทุกคนต่างรู้จักกันดีทั่วโลกนั่นก็คือคุณปู่วอเรน บัฟเฟตต์ เขาเป็นนักลงทุนระยะยาวและยังเป็นเจ้าของบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮตทาเวย์ (NYSE:BRKa) (NYSE:BRKb) ดังนั้นวันนี้เราจึงอยากมาแนะนำกองทุน ETF ที่เชื่อว่าธุรกิจที่ดีต้องมีคุณภาพจากเนื้อใน
1. iShares S&P Small-Cap 600 Value ETF
ราคาซื้อขายปัจจุบัน: $103.14
กรอบการวิ่งในรอบ 52 สัปดาห์: $42.81 - $104.32
อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล: 1.58%
อัตราส่วนค่าใช้จ่ายรวม: 0.18%
กองทุน ETF แรกที่เราอยากจะแนะนำคือ iShares S&P Small-Cap 600 Value (NYSE:IJS) พวกเขาลงทุนในหุ้นของบริษัทสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าตลาดขนาดเล็ก และมักจะเป็นถูกมองข้ามโดยนักลงทุนทั่วไป ปัจจุบัน IJS ถือหุ้นในมือรวมแล้วทั้งสิ้น 541 บริษัท มูลค่าของกองทุนบนดัชนี S&P Smallcap 600 Value Index ตั้งแต่ลงทะเบียนในเดือนกรกฎาคมปี 2000 พบว่าเติบโตขึ้นจนมีมูลค่ามากถึง $8,700 ล้านเหรียญสหรัฐ
ในแง่ของการกระจายรายได้ของ IJS พบว่าบริษัทได้แบ่งการลงทุนไปยังหุ้นการเงินมากที่สุดถึง 24.60% ตามมาด้วยกลุ่มอุตสาหกรรม 17.80% สินค้าฟุ่มเฟือย 14.81% อสังหาริมทรัพย์ 9.56% เทคโนโลยีสำหรับการสื่อสาร 8.01% และหุ้นของบริษัทท๊อป 10 น้อยกว่า 10%
หุ้นที่กองทุนนี้เข้าถือถ้าไม่ใช่คนวงในจริงๆ ก็อาจจะไม่เคยได้ยินชื่อเลยเช่น BCF Treasury Fund (XTSLA)ซึ่งกองทุนนี้ลงทุนในผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และการปรับตัวขึ้นของผลตอบแทนฯ ในช่วงนี้ก็ทำให้บริษัทได้กำไร 1.66% จากสินทรัพย์ทั้งหมด นอกจากนี้ก็จะมี Macy’s (NYSE:M) Resideo Technologies (NYSE:REZI); GameStop (NYSE:GME) ที่เชื่อว่าทุกคนคงรู้จักกันดีกับดราม่าในช่วงต้นปีที่ผ่านมา BankUnited (NYSE:BKU) และ Pacific Premier Bancorp (NASDAQ:PPBI)
ขาขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาของดัชนีหลักๆ อย่างดาวโจนส์ เอสแอนด์พี 500และแนสแด็ก 100นั้นไม่ได้ทำให้นักลงทุนรู้สึกอุ่นใจ ที่จริงพวกเขามองว่ามูลค่าของหุ้นในตลาดตอนนี้สูงมากเกินไปด้วยซ้ำและเริ่มที่จะมองหาหุ้นที่มีมูลค่าตลาดขนาดเล็กเพื่อรองรับความเสี่ยงเอาไว้
หากนับตั้งแต่ต้นปี 2021 มาจนถึงปัจจุบัน IJS สามารถทำกำไรคืนให้กับผู้ถือครองได้แล้วมากกว่า 27% ในรอบสิบสองเดือนล่าสุดสามารถทำกำไรได้ 58% และพึ่งสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเมื่อไม่นานมานี้ ปัจจุบันค่าอัตราส่วนเทียบระหว่างราคาหุ้นและกำไรต่อหุ้น (P/E) และราคาหุ้นเทียบกับมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/B) มีตัวเลขอยู่ที่ 18.94 และ 1.63 ตามลำดับ หากผู้อ่านสนใจลงทุนในกองทุนนี้ควรรอให้ราคาย่อกลับลงมาประมาณ $95 ค่อยตัดสินใจเข้าซื้อ
2. Invesco S&P 500® Pure Value ETF
ราคาซื้อขายปัจจุบัน: $73.76
กรอบการวิ่งในรอบ 52 สัปดาห์: $33.62 - $75.53
อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล: 1.73%
อัตราส่วนค่าใช้จ่ายรวม: 0.35%
กองทุน ETF ตัวสุดท้ายที่เราอยากจะแนะนำคือ Invesco S&P 500® Pure Value (NYSE:RPV) เป็นกองทุนที่สามารถเข้าถึงข้อมูลบริษัทในเอสแอนด์พี 500 และมีข้อมูลของแต่ละบริษัทที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เกณฑ์ในการวัดหุ้นของกองทุนนี้พวกเขาเลือกใช้ค่า (P/B) (P/E) และ (P/S) เป็นตัวกำหนด
ปัจจุบัน RPV ถือหุ้นของบริษัทอยู่ 124 แห่ง มีการปรับเงินในพอร์ตการลงทุนทุกๆ ปีและมีการเติบโตขึ้นจนมีมูลค่ามากถึง $1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ การกระจายรายได้ของกองทุนนี้พบว่ามีการแบ่งไปลงกลุ่มการเงิน 41.33% กลุ่มพลังงาน 9.99% กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย 8.95% กลุ่มสุขภาพ 8.73% และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 7.59%
RPV ได้ถือหุ้นชื่อดังประมาณ 10 บริษัทเอาไว้ประมาณ 20% ของพอร์ตการลงทุน ยกตัวอย่างเช่น Unum Group (NYSE:UNM) HollyFrontier (NYSE:HFC) Valero Energy (NYSE:VLO); Berkshire Hathaway และ Lumen Technologies (NYSE:LUMN) หากนับตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปัจจุบันพบว่า RPV ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 21% พึ่งสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลไปในเดือนนี้เอง ปัจจุบันค่าอัตราส่วนเทียบระหว่างราคาหุ้นและกำไรต่อหุ้น (P/E) และราคาหุ้นเทียบกับมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/B) มีตัวเลขอยู่ที่ 11.69 และ 0.86 ตามลำดับ