สัปดาห์นี้นักลงทุนต้องจับตาดูรายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ เป็นพิเศษเพราะจะเป็นตัวกำหนดทิศทางราคาน้ำมันดิบตลอดทั้งสัปดาห์ หลังจากสถานการณ์พายุหิมะถล่มในรัฐเท็กซัสเริ่มดีขึ้น การผลิตและการกลั่นน้ำมันก็ค่อยๆ ฟื้นตัวและเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดกลับลงมาจาก $60 ต่อบาร์เรลได้เป็นการชั่วคราว
สำหรับความเคลื่อนในตลาดแร่โลหะมีค่า ทองคำสามารถกลับขึ้นมายืนเหนือ $1,800 ต่อออนซ์ได้อีกครั้งหลังจากที่ได้ลงไปทดสอบจุดต่ำสุดที่ $1,760 อีกครั้ง ความกังวลที่มีต่ออัตราเงินเฟ้อและขาขึ้นของสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ทำให้ตลาดหันกลับมามองราคาทองคำอีกครั้ง
นอกจากทองคำแล้ว นักวิเคราะห์ยังเชื่อว่าราคาทองแดงจะสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ในรอบหลายปีด้วยการยืนเหนือ $4 ทำขาขึ้นต่อจากสัปดาห์ที่แล้วในขณะที่โลหะเงินกำลังอยู่ในช่วงพยายามที่จะเจาะแนวต้านเพื่อกลับเข้าสู่แนวโน้มเดิมที่สร้างมาตลอดเดือนกุมภาพันธ์
ราคาน้ำมันดิบและการประชุม OPEC
เจฟฟรี่ ฮาร์รี่ นักวิเคราะห์จาก OANDA มองว่าหากราฟผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ยังหนุนให้ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ก็จะต้องกลับเข้าสู่ขาลงอีกครั้ง การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐช่วยให้ราคาน้ำมันดิบฟื้นตัว แต่นอกจากประเด็นนี้แล้วยังมีสาเหตุอื่นอีกที่ยังค้ำราคาน้ำมันดิบ WTI และเบรนท์ไม่ให้ปรับตัวขึ้น
“การปรับตัวลดลงมาของตลาดซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI และเบรนท์ในวันพฤหัสบดีและศุกร์ที่ผ่านมาเป็นไปตามอินดิเคเตอร์ RSI ที่ค้างอยู่ใน overbought มาเป็นเวลาซักระยะหนึ่งแล้ว ถึงกระนั้นราคาน้ำมันดิบทั้งสองก็สามารถกลับขึ้นไปยืนเหนือ $60 ต่อบาร์เรลอีกครั้ง ความแข็งแกร่งที่สะท้อนออกมาแสดงให้เห็นว่ามีโอกาสที่สัปดาห์นี้ราคาน้ำมันดิบจะสามารถขึ้นไปยืนถึง $62.80 (WTI) และ $65.50 (เบรนท์) ได้”
สัปดาห์หน้านอกจากจะต้องจับตาดูรายงานตัวเลขการจ้างงานอกภาคการเกษตรแล้ว นักลงทุนยังจะให้ความสนใจกับการประชุมของ OPEC+ ที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์แรกของเดือนมีนาคม เจฟฟรี่ ฮาร์รี่ มีความเห็นเกี่ยวกับการประชุมครั้งนี้ว่า
“การที่ราคาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้ามีราคาอนาคตอยู่ตํ่ากว่าราคาปัจจุบัน (Backwardation) ก็เป็นตัวบ่งบอกอยู่แล้วว่าราคาน้ำมันในอนาคตกำลังจะปรับตัวสูงขึ้น การประชุมของ OPEC+ ครั้งนี้ พวกเขาต้องตัดสินใจว่าจะเพิ่มหรือลดกำลังการผลิต ก่อนหน้านี้ซาอุดิอาระเบียได้ตัดสินใจลดกำลังการผลิตของตนเพื่อรักษาสมดุลในตลาดน้ำมัน แต่เมื่อความต้องการน้ำมันเริ่มกลับมาแล้ว การขุดน้ำมันในสหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัวและทรงตัวในบุคของโจ ไบเดน จึงเหลือเหตุผลสนับสนุนการเพิ่มกำลังการผลิตของซาอุดิอาระเบียน้อยมาก”
นักวิเคราะห์ประเมินว่าเหตุการณ์พายุหิมะถล่มเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทำให้การผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ หายไปวันละ 4 ล้านบาร์เรลต่อวันในขณะที่การผลิตก๊าซธรรมชาติลดลง 21 พันล้านลูกบาศ์กฟุต บริษัทผู้ผลิตน้ำมันยังต้องใช้เวลาอีกหลายวันในการละลายน้ำแข็ง เริ่มเปิดระบบใหม่ ก่อนที่จะจัดการเริ่มส่งออกน้ำมันได้อีกครั้ง บริษัทผู้ผลิตน้ำมันที่อยู่ในอ่าวของสหรัฐฯ อาจต้องใช้เวลามากถึงสามสัปดาห์ในการฟื้นกำลังการผลิตกลับมา สถานการณ์เช่นนี้หมายความว่าราคาน้ำมันดิบอาจจะยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นไปอีกอย่างน้อยในสัปดาห์นี้
อย่างที่ได้บอกไปในตอนต้นบทความแล้วว่าสัปดาห์นี้นักลงทุนต้องให้ความสนใจการรายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังจาก EIA เป็นพิเศษ หากราคาน้ำมันดิบคงคลังของสัปดาห์ที่แล้วปรับลดลง จะเป็นสัญญาณบอกถึงการฟื้นตัวของตลาดน้ำมันดิบและอาจเป็นไปได้ที่สหรัฐอเมริกาและอิหร่านจะกลับมาคุยกับเรื่องการคว่ำบาตรหลังจากบุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
หากสหรัฐฯ อนุญาตให้อิหร่านสามารถส่งน้ำมันมาที่สหรัฐฯ ได้เหมือนเดิมโดยแลกกับคำมั่นสัญญาที่ว่าอิหร่านจะไม่สร้างระเบิดนิวเคลียร์ ความกดดันจะกลับไปอยู่กับซาอุดิอาระเบียและกลุ่มโอเปกทันที เพราะนี่หมายความว่ากลุ่มโอเปกจะต้องรับมือกับกำลังการผลิตน้ำมันจากอิหร่านมากถึง 4 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ในกรณีที่อิหร่านสามารถผลิตน้ำมันได้มากที่สุดต่อวัน)
การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐอาจช่วยหนุนราคาทองคำในสัปดาห์นี้
สำหรับทองคำนั้นแม้ว่าดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าชั่วคราว แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ทองคำสามารถกลับขึ้นมายืนเหนือ $1,800 ได้อีกครั้ง Sunil Kumar Dixit นักวิเคราะห์จาก Dixit Charting ของอินเดียกล่าวว่า
“ตราบใดที่ราคาทองคำสปอตสามารถยืนเหนือ $1800 ซึ่งหมายถึงการขึ้นยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 50 สัปดาห์ที่ $1,796 ได้ มีโอกาสที่ราคาทองคำจะสามารถขึ้นไปทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย 20 วันที่ $1,815 และเส้นค่าเฉลี่ย 50 EMA ที่ $1,834 ได้ในอนาคตอันใกล้”