หากถามถึงสถานการณ์ของดอลลาร์สหรัฐเมื่อสองสัปดาห์ก่อนว่าเป็นอย่างไร นักวิเคราะห์หลายคนจะบอกกับคุณว่าตอนนั้นดอลลาร์ยังอ่อนค่าเพราะนั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่กราฟดัชนีดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลดลงสี่วันติดต่อกัน แต่ตอนนี้แม้กราฟดัชนีดอลลาร์สหรัฐจะยังอยู่ในแนวโน้มขาลง แต่เรากลับคิดว่าสกุลเงินที่เป็นสินทรัพย์สำรองอันดับหนึ่งไม่ได้มีทรงว่าจะอ่อนค่าลงต่อ และดูเหมือนว่าจะแข็งค่าขึ้นด้วยซ้ำ
ปัจจัยพื้นฐานที่หนุนให้ดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่าในตอนนี้คือมีความคาดหวังของนักลงทุนบางกลุ่มที่เชื่อว่าการต่อสู้กับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้จำเป็นที่จะต้องอนุญาตให้มีการเพิ่มขึ้นของการหมุนเวียนเงินในระบบ เพื่อให้เงินเฟ้อสามารถปรับขึ้นมาตามเป้าหมายในระยะยาวได้ ภายใต้การบริหารของโจ ไบเดน เขาตั้งใจที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายของภาครัฐเช่นการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ การปฏิรูปภาษี การมีนโยบายให้ประโยชน์กับบริษัทที่ประกอบธุรกิจในสหรัฐฯ ฯลฯ
สาเหตุที่เงินเฟ้อรูปแบบนี้ไม่ทำร้ายมูลค่าของสกุลเงินดอลลาร์เป็นเพราะไม่ใช่การอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบโดยตรง แต่เป็นการขยายฐานเศรษฐกิจผ่านการพัฒนาสาธารณูปโภคที่เอื้อความสะดวกให้กับการเติบโต เมื่อโครงสร้างพื้นฐานดี ก็จะเรียกนักลงทุนให้อยากเข้ามาลงทุนมากขึ้น การบริโภคเติบโต เมื่อมีคนลงทุน การจ้างงานก็จะเกิด สร้างกำไรกลับเข้ามาให้กับระบบมากขึ้น
นอกจากนี้นักลงทุนยังเชื่อว่าเมื่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดสภาพคล่องไม่ให้มีในระบบมากเกินไป และเมื่อไหร่ที่ธนาคารกลางฯ ขึ้นอัตราอัตราดอกเบี้่ย เมื่อนั้นมูลค่าของดอลลาร์ก็จะเพิ่มขึ้นตามลำดับ มีความน่าดึงดูดมากขึ้น และความต้องการถือครองดอลลาร์สหรัฐก็จะกลับมา
ด้วยวิธีคิดเช่นนี้จึงทำให้นักลงทุนตัดสินใจขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาบางส่วนเพราะนักลงทุนต้องการรอซื้อพันธบัตรรัฐบาลลอตใหม่ที่จะให้ผลตอบแทนสูงกว่านี้ หากเป็นเช่นนั้นรัฐบาลก็จะสามารถดึงเงินของประชาชนออกมาจากตลาดหุ้น เมื่อพันธบัตรรัฐบาลกลายเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยใหม่ คนที่ต้องการถือพินธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ก็จะต้องการถือครองดอลลาร์สหรัฐมากขึ้น ส่งผลให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้น
เมื่อวานนี้กราฟดัชนีดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลดลงมา แต่ก็ต้องลงมาเจอกับเส้นแนวรับ neckline สีแดงซึ่งก่อนหน้านี้กราฟได้ทะลุกรอบราคาขาขึ้น (โซนสีเขียว) ลงมา ทำให้นักลงทุนบางส่วนเชื่อว่าดอลลาร์อาจกลับไปอ่อนค่าอีกครั้ง ที่สำคัญแรงขาลงดังกล่าวผลักให้ราคาต้องกลับเข้ามาสู่กรอบลิ่มลู่ลงอีกครั้ง
การที่กราฟยังสามารถยืนเหนือเส้น neckline ทำให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐยังอยู่ในทรงของรูปแบบ peak & trough ของแนวโน้มขาขึ้น แต่การที่ราคาวิ่งพัวพันอยู่ที่กรอบลิ่มลู่ลงกับการพยายามยืนเหนือเส้น neckline แสดงให้เห็นการสู้กันของนักลงทุนทั้งสองฝ่าย ฝั่งที่เชื่อปัจจัยพื้นฐานก็เชื่อว่าดอลลาร์ระยะยาวต้องอ่อนค่า แต่ฝั่งที่เชื่อเทคนิคก็มองว่าขอแข็งค่าในระยะสั้นๆ ก่อนก็พอ
จุดสังเกตก็คือเราสามารถเห็นความเชื่อแบบสนิทใจของนักลงทุนทั้งสองฝ่ายผ่านพฤติกรรมของแท่งเทียน ย้อนกลับไปในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ตอนนี้ที่กราฟขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดก่อนที่จะหลุดกรอบรูปธงลงมา สังเกตว่าแท่งเทียนนั้นเป็นแท่งเทียนแบบเต็มแท่ง หมายถึงความมั่นใจของนักลงทุนขาขึ้นที่มีเต็มเปี่ยมถูกกระชากลงด้วยความมั่นใจของขาลงเต็มเปี่ยมเช่นเดียวกัน นัยหนึ่งก็แสดงให้เห็นว่าความต้องการดอลลาร์สหรัฐยังมี เพียงแต่ความเชื่อของทั้งสองฝ่ายที่มีต่อดอลลาร์อยู่ในระดับที่พอๆ กัน
กลยุทธ์การเทรด
เทรดเดอร์ที่ไม่ชอบความเสี่ยง จะรอจนกว่ากราฟจะสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่เหนือจุดสูงสุดของวันที่ 4 กุมภาพันธ์ จากนั้นรอให้ราคาย่อลงมาก่อนวางคำสั่งซื้อ
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง จะรอดูจุดสูงสุดใหม่เช่นกัน แต่ตอนที่กราฟย่อลงมานั้น จะไม่รอแท่งเทียนขาขึ้นเป็นสัญญาณยืนยัน
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้สูง วางคำสั่งซื้อได้ทันทีที่ต้องการ นักลงทุนกลุ่มนี้ส่วนมากรู้จักการบริหารความเสี่ยงอยู่แล้วและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้่
ตัวอย่างการเทรด
- จุดเข้า: 90.60
- Stop-Loss: 90.50
- ความเสี่ยง: 10 จุด
- เป้าหมายในการทำกำไร:91.60
- ผลตอบแทน: 100 จุด
- อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 1:10