กลุ่มห้าเทพหุ้นเทคฯ (FAANG) อันประกอบไปด้วยเฟซบุ๊ก (NASDAQ:FB) อะเมซอน (NASDAQ:AMZN) แอปเปิล (NASDAQ:AAPL) เน็ตฟลิกซ์ (NASDAQ:NFLX) และกูเกิลของบริษัทแม่อัลฟาเบต (NASDAQ:GOOGL) ถือเป็นกลุ่มหุ้นที่กำไรคืนมาให้กับนักลงทุนมากที่สุดกลุ่มหนึ่งในปี 2020 ที่ผ่านมาเพราะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคหันมาพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น เฉพาะปี 2020 พบว่าหุ้นเฟซบุ๊กสามารถเติบโตขึ้น 35% อะเมซอน 78% แอปเปิล 86% กูเกิล 32% และเน็ตฟลิกซ์ 61%
ในปี 2021 ที่เปิดศักราชใหม่ได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว นักลงทุนจึงอยากรู้ว่าปีนี้เทพทั้งห้าจะยังสามารถสร้างกำไรที่เติบโตคืนมาให้กับนักลงทุนอย่างเช่นในปีที่แล้วได้อีกหรือไม่ ในวันนี้เราจะมาเริ่มต้นกันด้วยหุ้นของบริษัทเน็ตฟลิกซ์ ราชาแห่งภาพยนตร์สตรีมมิ่งกันก่อนซึ่งในช่วงแรกของการแพร่ระบาด เน็ตฟลิกซ์นับได้ว่าเป็นผู้ที่ทำกำไรเติบโตได้อย่างโดดเด่นมากที่สุด
ความน่าดึงดูดในฐานะตัวเลือกที่เหมาะกับการอยู่บ้านมากที่สุดจะหายไปหรือไม่
อย่างที่เกริ่นนำไปก่อนหน้านี้ว่าเน็ตฟลิกซ์ได้รับการยกย่องในช่วงแรกของการล็อกดาวน์ปี 2020 เป็นอย่างมากว่าคือตัวเลือกสำหรับการพักผ่อนที่ดีที่สุด เมื่อไม่สามารถทำกิจกรรมผ่อนคลายนอกบ้านได้ การเลือกที่จะรับชมภาพยนตร์กับครอบครัวหรือคนที่เรารักจึงเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก หุ้นของเน็ตฟลิกซ์วิ่งขึ้นจากจุดต่ำสุดในวันที่ 16 มีนาคมจนถึงช่วงกลางเดือนตุลาคมรวมแล้วประมาณ 90%
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าปีนี้เกมของเน็ตฟลิกซ์อาจจะไม่ได้ง่ายดายเหมือนกับปีที่แล้ว เมื่อคู่แข่งคนสำคัญอย่างดิสนียพลัส (Disney+) จากยักษ์ใหญ่แห่งวงการภาพยนตร์ดิสนีย์ (NYSE:DIS) สามารถเติบโตขึ้นมาได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสามเดือนล่าสุด ปัจจุบันดิสนีย์พลัสมีลูกค้าที่ชำระค่าบริการรวมแล้วทั้งสิ้นมากกว่า 80 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นจากตัวเลข 57.5 ล้านคนในไตรมาสที่ 3 ปี 2020 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนี้เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของเน็ตฟลิกซ์พบว่ามีสมาชิกรวมแล้วทั้งสิ้น 195 ล้านคน
ที่น่าสนใจก็คือความสำเร็จของดิสนีย์พลัสปรากฎขึ้นในวันที่การเติบโตของยอดผู้สมัครสมาชิกของเน็ตฟลิกซ์ลดลง ในเดือนตุลาคมเน็ตฟลิกซ์รายงานว่ามียอดผู้สมัครสมาชิกเพิ่มขึ้น 2.2 ล้านคนเพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคมปี 2020 ที่ 2.5 ล้านคนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกดิสนีย์พลัสแล้วยังมีคู่แข่งอีกหลายบริษัทที่ขอท้าชิงตำแหน่งราชาจากเน็ตฟลิกซ์ในปีนี้ไม่ว่าจะเป็นเอทีแอนด์ที (NYSE:T) ที่มีช่องอย่างเอชบีโอแมกซ์ (HBO Max) และคอมแคส (NASDAQ:CMCSA)
กระแสเงินสดคือจุดอ่อนของเน็ตฟลิกซ์
นอกจากเรื่องความสามารถในการแข่งขันที่ถือเป็นปัจจัยกดดันหุ้นเน็ตฟลิกซ์ในระยะยาวแล้ว สิ่งที่ทำให้เน็ตฟลิกซ์เป็นหุ้นที่เปราะบางที่สุดเมื่อเทียบกับเพื่อนในกลุ่ม FAANG คือกระแสเงินสดภายในบริษัท ในแต่ละไตรมาสที่เน็ตฟลิกซ์พยายามผลักดันหนังของแต่ละภูมิภาคให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคตามแต่ละพื้นที่นั้นต้องใช้เงินเพื่อผลักดันโครงการนี้เป็นจำนวนมาก
เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว เน็ตฟลิกซ์จึงได้ประกาศขึ้นค่าสมาชิกเป็นครั้งที่สองในช่วงไตรมาสที่แล้ว แต่สิ่งที่น่ากังวลคือสถานะทางการเงินของผู้คนในตอนนี้ไม่อาจอยู่ในช่วงที่สามารถใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยได้ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (NFP) ที่พึ่งประกาศออกมาเมื่อวันศุกร์ก็สะท้อนให้เห็นความเปราะบางของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคมแล้วว่าเป็นเช่นไร หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เน็ตฟลิกซ์อาจจะเสียลูกค้าผู้สมัครสมาชิกภายในประเทศของตนได้เพราะในอดีตก็ได้พิสูจน์มาแล้วว่าการปรับขึ้นราคาสมาชิกในครั้งแรกทำให้ยอดผู้สมัครสมาชิกลดลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา
นายเมธธิว ฮาริแกน นักวิเคราะห์ชื่อดังได้แสดงความเห็นในเชิงที่คล้ายๆ กันทาง investing.com ว่า
"สถานการณ์ที่เคยหนุนหุ้นของเน็ตฟลิกซ์ในตอนนี้แตกต่างไปจากหุ้นเทคโนโลยีตัวอื่นบน NASDAQ 100 และเพื่อนในกลุ่ม FAANG เพราะสภาพแวดล้อมเดิมที่เคยสนับสนุนเน็ตฟลิกซ์ในปี 2020 ได้เปลี่ยนไป
1.) ปีนี้เน็ตฟลิกซ์ต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่มากขึ้น
2.) สภาพเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบมาจากโควิดปีที่แล้วอาจจะถูกซ้ำเติมด้วยโควิดสายพันธุ์ใหม่จากสหราชอาณาจักรและแอฟริกาใต้หากว่าวัคซีนที่ออกมาใช้กับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ไม่ได้ผล"
โดยสรุปแล้ว
ปีนี้เน็ตฟลิกซ์คงต้องออกแรงวิ่งแล้วหลังจากที่สามารถเดินได้อย่างสบายๆ ในปี 2020 เชื่อว่าการมาของคู่แข่งนั้นจะทำให้เน็ตฟลิกซ์ต้องงัดไม้เด็ดออกมาสักอย่างเพื่อปกป้องความสามารถในการทำกำไรของตัวเอง สำหรับนักลงทุนแล้ว การรอดูสถานการณ์ของเน็ตฟลิกซ์ไปก่อนจึงถือว่าเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด