การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมร้านอาหารทั่วโลกเป็นอย่างมากเนื่องจากร้านอาหารส่วนใหญ่พึ่งพากำลังซื้อจากผู้บริโภคที่มารับประทานอาหารที่ร้าน แต่เมื่อพฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนไป ผู้คนกลัวโควิดและเลือกที่จะอยู่บ้านมากขึ้น จึงทำให้ร้านอาหารเหล่านี้ต้องมีต้นทุนเพิ่มในการทำระบบส่งอาหารให้ถึงบ้านของผู้บริโภคโดยตรง นอกจากนี้พวกเขายังได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ของภาครัฐด้วย
แต่หลังจากที่มีข่าวดีเรื่องวัคซีนต้านโควิดออกมา นักลงทุนและผู้ประกอบการก็ตั้งธงความหวังเอาไว้ในปีหน้าโดยเชื่อว่าเศรษฐกิจจะต้องดีขึ้น ผู้ประกอบการร้านอาหารจะได้เห็นบรรยากาศที่ลูกค้ากลับเข้ามานั่งเต็มร้านอย่างที่เคยเป็นอีกครั้ง เมื่อพูดถึงร้านอาหารที่มีสาขามากที่สุดในโลก นอกจากแบรนด์กาแฟชื่อดังอย่างสตาร์บักส์ (NASDAQ:SBUX) และร้านอาหารฟาส์ทฟู๊ดที่มีสาขาเยอะที่สุดในโลกอย่างแมคโดนัลด์ (NYSE:MCD) แล้ว เราก็ไม่เห็นใครที่จะคู่ควรนำมาเปรียบเทียบเพื่อดูว่าหุ้นของใครมีความน่าซื้อมากว่ากันในยามที่โลกกลับคืนสู่สภาวะปกติ
1. Starbucks
บริษัทสตาร์บักส์ถือเป็นแบรนด์กาแฟชื่อดังที่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ไวรัสโคโรนาระบาดเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคของชาวอเมริกันเปลี่ยนไป สตาร์บักส์มีรายงานเมื่อเดือนที่แล้วออกมาว่ายอดขายจากสาขาเดิมที่มีอยู่ลดลง 9% ในระหว่างช่วงของไตรมาสที่ 4 กลายเป็นสถิติยอดขายลดลงสามไตรมาสติดต่อกัน อย่างไรก็ตามในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา มีสัญญาณว่าตัวเลขดังกล่าวกำลังค่อยๆ ฟื้นตัว
ยกตัวอย่างเช่นในช่วงฤดูใบไม้ผลิก่อนหน้านี้ที่ทั่วทั้งโลกอยู่ในโหมดล็อกดาวน์ ตอนนั้นยอดขายของสาขาทั้งหมดที่สตาร์บักส์ลดลง 9% แต่ด้วยระบบการจัดการที่ดีของสตาร์บักส์จึงทำให้พวกเขาเรียกความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมาได้ว่าช่วงที่เลวร้ายที่สุดของบริษัทได้ผ่านพ้นไปแล้ว สตาร์บักส์คาดการณ์ว่าตัวเลขยอดขายจากแต่ละสาขาจะกลับมาขยายตัวอีกครั้งประมาณ 18% ในระหว่างช่วงไตรมาสแรกและขยายตัว 23% ตลอดทั้งปี 2021 ส่วนตลาดที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองอย่างประเทศจีนคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 32%
นายเควิน จอห์นสัน CEO ของสตาร์บักส์กล่าวในจดหมายของเขาที่ส่งให้กับพนักงานในบริษัทว่า
“กลยุทธ์การตั้งรับกับโควิดของเราได้ผลและผมมีความเชื่อว่าเราจะสามารถกลับมาผงาดได้อีกครั้งเมื่อภัยโรคระบาดนี้จบลง”
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์บางคนก็กังวลว่าหลังจากผ่านช่วงโควิดระบาดไปแล้ว อุตสาหกรรมอาหารอาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะในการฟื้นตัวเนื่องจากผู้บริโภคบางคนอาจติดใจการสั่งสินค้าออนไลน์และหลีกเลี่ยงการออกไปในที่ชุมชน ดังนั้นตอนนี้จึงยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะลงทุนกับหุ้นสตาร์บักส์ ก่อนหน้านี้ในเดือนมีนาคม หุ้นสตาร์บักส์เคยร่วงลงไป 36% ก่อนจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ มีราคาปิดล่าสุดเมื่อวันอังคารอยู่ที่ $98.82 ปรับตัวขึ้นมากกว่า 12% ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
การระบาดของโควิด-19 ครั้งนี้ทำให้สตาร์บักส์ได้กลับไปวางกลยุทธ์ใหม่ พวกเขากำลังจะทำร้านของพวกเขาให้กลายเป็นบ้านหลังที่สามของผู้บริโภคที่ห่างไกลจากบ้านและที่ทำงาน เพื่อให้ผู้มาใช้บริการได้รู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้บริษัทตั้งใจที่จะอัปเกรดคอนเซปการมาหยิบกาแฟและไปให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขนาดของแต่ละสาขาจะมีขนาดเล็กลงและลดจำนวนร้านขนาดใหญ่ที่อยู่นอกชานเมืองจำนวน 400 สาขาซึ่งโมเดลนี้จะเริ่มจากเมืองหลวงใหญ่ๆ ที่ไม่มีพื้นที่สำหรับการจอดรถก่อนอย่างเช่นนิวยอร์ก บอสตันและชิคาโก
2. McDonald’s
แมคโดนัลด์ถือเป็นหนึ่งในผู้ที่กลับมาจากจุดต่ำสุดในเดือนมีนาคมได้อย่างรวดเร็วด้วยตัวเลขการฟื้นตัว 75% นับจากวันที่ 18 มีนาคมขึ้นมาถึงปัจจุบัน ทำผลงานได้ดีกว่าดัชนีดาวโจนส์ที่ใช้วัดอุตสาหกรรมร้านอาหารและภัตตาคารโดยเฉพาะ
หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้หุ้นแมคโดนัลด์กลับมาได้เร็วกว่าใครเพื่อนคือการที่บริษัทมีบริการไดรฟ์-ทรูหรือการขับรถผ่านแล้วรับสินค้าไปเลยซึ่งบริการเหล่านี้ตอบโจทย์เป็นอย่างมากในวันที่โรคระบาดไม่อนุญาตให้มนุษย์ออกมาพบปะ สังสรรค์ กันที่ร้านอาหาร ยอดขายของแต่ละสาขามีตัวเลขที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในไตรมาสที่ 3 ซึ่งมีสาเหตุหลักๆ มาจากผู้บริโภคนิยมสั่งแมคโดนัลด์มารับประทานเป็นกลุ่มในช่วงมื้อค่ำ
นอกจากนี้เปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดแล้ว การลองเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทใหม่ๆ ก็ช่วยเพิ่มยอดขายและภาพลักษณ์ของแมคโดนัลด์ให้ดูมีความทันสมัยอยู่ตลอด แมคโดนัลด์ได้รวมทำงานกับศิลปินแร็บเปอร์ชื่อดังทราวิส สกอตต์และลดขั้นตอนเพื่อประหยดเวลาให้กับผู้บริโภคที่ใช้บริการไดรฟ์-ทรูมากขึ้นด้วยการจัดชุดเมนูอาหารง่ายๆ แต่มีความรู้สึกว่าคุ้มค่ามาให้กับผู้บริโภค
อีกหนึ่งปัจจัยที่นักลงทุนควรคำนึงถึงในการเลือกหุ้นร้านอาหารคือเสถียรภาพของบริษัทในแง่ของการปันผล นับตั้งแต่ปี 1976 ที่บริษัทเริ่มปันผลเป็นครั้งแรก แมคโดนัลด์ก็เพิ่มเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นทุกปีและไม่มีความคิดที่จะหยุดการปันผลนี้ด้วย ปัจจุบันแมคโดนัลด์มีเปอร์เซนต์การปันผลอยู่ที่ 2.31% ในแต่ละไตรมาสมีการปันผลอยู่ที่ $1.29 ต่อหุ้นหลังจากขึ้นไปสร้างจุดสูงสุด 3% ได้ในเดือนตุลาคม
โดยสรุปแล้ว
ในฐานะนักลงทุนที่เน้นมูลค่า อันที่จริงแล้วเราชอบหุ้นของทั้งสองบริษัท ทั้งคู่ต่างมีสินทรัพย์ที่ยอดเยี่ยมและมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งที่จะช่วยพาทั้งสองบริษัทให้รอดพ้นจากช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้ไปได้จนกระทั่งถึงวันที่ไวรัสถูกควบคุมได้อย่างเรียบร้อย แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่ลืมว่าความเป็นจริงในตอนนี้ที่ไม่อาจทำให้กำไรของแมคโดนัลด์และสตาร์บักส์กลับมาได้อย่างเต็มรูปแบบ ดังนั้นในระยะยาว หุ้นของทั้งสองบริษัทยังถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี