โดยส่วนใหญ่แล้วตอนนี้บริษัทเอกชนในสหรัฐฯ ได้รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของปี 2020 จบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้ว่าภาพรวมดูจะไม่แตกต่างไปจากไตรมาสที่ 2 แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีการฟื้นตัวจากการติดลบในไตรมาสก่อนได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างที่ทราบกันดีว่าไตรมาส 2 ถือเป็นไตรมาสที่บริษัทได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ไตรมาสนี้จึงมีบริษัทเอกชนมากถึง 84% ที่สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ที่บริษัทตั้งขึ้นเองได้ นี่คือตัวเลขที่ดีที่สุดตั้งแต่ FactSet เก็บสถิติมาตั้งแต่ปี 2008
เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากการเข้าไปทำงานรวมกันในเมืองกลายเป็นทำงานจากที่บ้านกันมากขึ้น ทำให้บริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีและขายปลีกที่สามารถปรับตัวนำเทคโนโลยีมาใช้ก่อนสามารถรักษาผลประกอบการที่ดีของตัวเองเอาไว้ได้ ถึงกระนั้นบางบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ขาดทุนอย่างหนักในไตรมาสที่ 2 ก็เริ่มแสดงสัญญาณการฟื้นตัวกลับขึ้นมาแล้ว
เรามาเริ่มต้นดูข้อมูลบริษัทชื่อดังของสหรัฐฯ ที่ตัวเลขผลประกอบการได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างเห็นได้ชัดกันก่อนอย่างเช่นสตาร์บักส์ (NASDAQ:SBUX) และดิสนีย์ (NYSE:DIS) ธุรกิจหลักทั้งสองบริษัทได้รับกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์เช่นเดียวกัน ร้านขายกาแฟของสตาร์บักส์ต้องงดให้บริการลูกค้าชั่วคราวเช่นเดียวกับสวนสนุกของดิสนีย์ แต่รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 นี้ พวกเขาสามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ได้อย่างน่าประหลาดใจ นี่อาจเป็นสัญญาณบอกว่าทั้งคู่ได้ผ่านช่วงเวลาที่แย่ที่สุดมาได้เรียบร้อย
ในรายงานผลประกอบการของสตาร์บักส์ ทางบริษัทบอกว่าตัวเลขยอดขายจากร้านค้าที่มีอยู่เดิมลดลง 9% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสิ้นสุดการประเมินในช่วงสิ้นเดือนกันยายน แต่ตัวเลขนี้ยังสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินเอาไว้อยู่ที่ 11.9% นี่คือตัวเลขการหดตัวที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาในขณะที่ประเทศทั่วโลกส่วนใหญ่ยังอยู่ในโหมดล็อกดาวน์ นอกจากนี้ยอดขายในเชิงเปรียบเทียบในประเทศสหรัฐอเมริกาก็ลดลง 9% เช่นกันซึ่งก็ยังถือว่ามากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์อยู่ดี
ส่วนอาณาจักรมิกกี้เมาส์ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงสองไตรมาสแรก ก็สามารถแสดงตัวเลขที่บอกว่าดิสนีย์กำลังเปลี่ยนโครงสร้างทางธุรกิจของตัวเองไปพึ่งพาภาพยนตร์สตรีมมิ่งมากขึ้น ในช่วงที่โรงภาพยนตร์ สวนสนุก และรายการทีวีไม่สามารถทำกำไรได้ตามปกติ ดิสนีย์กลับมียอดผู้สมัครสมาชิกบนบริการ “ดิสนีย์พลัส (Disney+)” ธุรกิจสตรีมมิ่งตัวใหม่มากถึง 74 ล้านคน นี่คือตัวเลขล่าสุดที่นับถึงวันที่ 3 ตุลาคม เพิ่มขึ้นจาก 60 ล้านคนที่นับไปเมื่อเดือนสิงหาคม
บ็อบ ชาเปก CEO คนปัจจุบันของดิสนีย์ได้ให้สัมภาษณ์กับ Wall Street Journal เกี่ยวกับการเติบโตของดิสนีย์พลัสสั้นๆ ว่า
“หัวใจสำคัญของธุรกิจยุคนี้คือการทำธุรกิจอย่างไรก็ได้ให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรงและใช้ขั้นตอนให้น้อยที่สุด”
ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนมุมมองไปพึ่งพาธุรกิจภาพยนตร์สตรีมมิ่งมากขึ้นจะทำให้นักลงทุนรู้สึกพอใจเพราะหลังจากได้ทราบยอดผู้สมัครบริการดิสนีย์พลัสเพิ่มขึ้น หุ้นของบริษัทก็สามารถวิ่งขึ้นกลับขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกันกับก่อนช่วงโควิด-19 ระบาด เมื่อวานนี้หุ้นดิสนีย์มีราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ $143.90 ย่อตัวลดลงมาเพียง 0.42% เท่านั้น
ภาพรวมของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ยังคงแข็งแกร่ง
คงไม่ต้องพูดกันมากเกี่ยวกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่สมัยนี้ทุกอย่างรอบตัวพึ่งพาเทคโนโลยีแทบทั้งหมด ยิ่งการเข้ามาของโควิด-19 ยิ่งตอกย้ำให้เห็นความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีว่าจำเป็นกับโลกสมัยนี้มากเพียงใด ความต้องการทุกอย่างตั้งแต่การขายปลีกไปจนถึงบริการบนเทคโนโลยีคลาวด์และการโฆษณาดิจิทัลสะท้อนให้เห็นว่านี่คือยุคเฟื่องฟูของเทคโนโลยีอย่างแท้จริง
ยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยีอย่างแอมาซอน (NASDAQ:AMZN) กูเกิล (NASDAQ:GOOGL) และเฟซบุ๊ก (NASDAQ:FB) สามารถรักษาผลประกอบการและกำไรสุทธิให้เป็นบวกได้อย่างแข็งแกร่ง กำไรของแอมาซอนในไตรมาสนี้เติบโตขึ้นอีก 37% หลังจากที่ไตรมาสที่สองได้ชื่อเป็นบริษัทที่ทำกำไรได้สูงสุดที่สุดประจำปี 2020 กำไรจากการขายของออนไลน์ การเก็บค่าโฆษณาดิจิทัลและค่าบริการจากระบบปฏิบัติการคลาวด์ยังคงเป็นหัวใจหลักที่ทำกำไรให้กับแอมาซอน
ในขณะเดียวกัน กำไรจากการเก็บค่าพื้นที่เพื่อโฆษณาของกูเกิลดูเหมือนว่าจะสามารถฟื้นตัวกลับคืนมาได้จากการหดตัวในไตรมาสที่สอง กำไรของบริษัทแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) แม้จะยังสามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ได้แต่ก็ไม่ได้ชนะแบบขาดรอย แต่กำไรที่หายไปของแอปเปิลเกิดขึ้นจากการวางขายโทรศัพท์มือถือชื่อดังไอโฟน (iPhone) ที่เปิดตัวล่าช้ากว่ากำหนดเพราะโควิด-19
อย่างไรก็ตาม บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งห้าอย่างแอปเปิล แอมาซอน กูเกิล เฟซบุ๊กและไมโครซอฟต์ (NASDAQ:MSFT) ก็ยังสามารถรายงานตัวเลขยอดขายที่สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 ได้เพิ่มขึ้น 18%
โดยสรุปแล้ว
ภาพรวมของการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2020 นี้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าทำไมหุ้นของบริษัทชั้นนำของสหรัฐอเมริกาถึงสามารถกลับขึ้นมาได้จากจุดต่ำสุดของการระบาดได้ เมื่อแสงสว่างที่ปลายอุโมค์มาแล้ว นักลงทุนจึงหวังกับรายงานผลประกอบการในรอบถัดไปว่าจะสามารถฟื้นตัวได้ดีกว่าการรายงานครั้งนี้อย่างมีนัยสำคัญ