- วอลล์มาร์ทจะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2021 ในวันอังคารที่ 17 พฤศจิกายนก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด
- คาดการณ์ตัวเลขผลกำไร: $132,080 ล้านเหรียญสหรัฐ
- คาดการณ์ตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น: $1.18
หุ้นของบางบริษัทที่อยู่ในกลุ่มร้านค้าปลีกของสหรัฐฯ สามารถทำผลงานขาขึ้นได้ดีตลอดทั้งปี 2020 นี้ จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคไม่ต้องการจับจ่ายใช้สอยกับสินค้าฟุ่มเฟือยมากนัก พวกเขาจึงมุ่งเน้นไปที่การซื้อของอุปโภคบริโภคที่จำเป็นและมีเพียงแต่ร้านค้าปลีกที่สามารถปรับตัวเข้าสู่โลกออนไลน์ได้ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค
หนึ่งในบริษัทค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกาที่ได้รับประโยชน์จากโควิดเต็มๆ คือบริษัทวอลล์มาร์ท (NYSE:WMT) การพัฒนาตัวเองเข้าสู่โลก e-commerce ตั้งแต่ปีที่แล้วทำให้ปีนี้วอลล์มาร์ทสามารถอยู่รอดในสถานการณ์บ้านเมืองที่มียอดผู้ติดเชื้อติดสามอันดับแรกของโลกมาเป็นเวลานาน แม้ร้านสะดวกซื้อแบบดั้งเดิมของวอลล์มาร์ทจะต้องเปิดบ้างปิดบ้าง แต่ด้วยการซื้อสินค้าออนไลน์ทำให้วอลล์มาร์ทแทบจะเหมือนไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย
ด้วยความคาดหวังที่มีของนักลงทุนในตลาด หุ้นของบริษัทจึงถูกดันขึ้นด้วยแรงซื้อจนสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ หลังจากที่ตลอดทั้งปีหุ้นวอลล์มาร์ทปรับตัวขึ้นมา 27% ล่าสุดหุ้นบริษัทมีราคาซื้อขายอยู่ที่ $152.44 สามารถเขาชนะขาขึ้นของดัชนี S&P 500 11% และขาขึ้นของกองทุน SPDR® S&P Retail ETF (NYSE:XRT) 19% ได้อย่างไม่ยากเย็น
แต่สิ่งที่นักลงทุนเริ่มจะเป็นกังวลก็คือขาขึ้นนี้จะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน? เมื่อพิจารณาจากปัจจัยโดยรอบซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องน่าเป็นห่วงอย่างเช่นยอดผู้ติดเชื้อภายในประเทศที่สูงเกิน 150,000 รายต่อวัน ดราม่าหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดี และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสองที่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครพูดถึงเลย ทั้งที่ก่อนการเลือกตั้งทั้งสองพรรคตกลงกันอย่างดิบดีว่าจะรีบดำเนินการเรื่องเงินเยียวยาอย่างเร็วที่สุดหลังจากการเลือกตั้ง
ในการรายงานผลประกอบการครั้งก่อน วอลล์มาร์ทและบริษัทค้าปลีกอื่นๆ ต่างออกมาให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคือสิ่งที่จำเป็นต้องมีเพราะตอนนี้ผู้บริโภคยังไม่กล้าที่จะใช้เงินเพื่อซื้อของอย่างเต็มกำลัง การได้เงินเยียวยาจะช่วยให้ผู้บริโภครู้สึกผ่อนคลายนโยบายการเงินของตัวเองและกล้าที่จะซื้อสินค้าประเภท “รู้ว่าจำเป็นแต่เอาไว้ก่อน” ได้
แรงผลักดันจาก E-Commerce
แม้เราจะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะได้รับข่าวดีเกี่ยวกับเงินเยียวยารอบที่สอง แต่หากพิจารณาเฉพาะบริษัทวอลล์มาร์ทแล้วเรามีเหตุผลหลายประการที่สามารถทำให้เชื่อได้ว่าหุ้นของบริษัทยังคงอยู่ในขาขึ้นระยะยาว ถึงจะต้องต่อสู้กับอีกหนึ่งยักษ์ใหญ่อย่างแอมาซอน (NASDAQ:AMZN) เพื่อแย่งลูกค้าทางออนไลน์ก็ตาม
ในไตรมาสที่แล้ววอลล์มาร์ทได้เปิดตัวบริการ “วอลล์มาร์ทพลัส (Walmart+)” ซึ่งเป็นบริการให้ผู้บริโภคสมัครเป็นสมาชิกรายเดือนที่ไม่ต่างอะไรกับการสมัครเพื่อรับชมภาพยนตร์สตรีมมิง เพียงแค่ชำระเงินต่อหนึ่งคำสั่งซื้อเกิน $35 ขึ้นไป ผู้ใช้งานก็สามารถใช้บริการส่งสินค้าทุกอย่างที่วอลล์มาร์ทมีมากกว่า 160,000 ชิ้นไปยังประตูบ้านของผู้บริโภคได้โดยตรงโดยที่ไม่คิดค่าขนส่ง
รายงานผลประกอบการในวันนี้นักวิเคราะห์มองว่าหากตัวเลขสูงขึ้นจนสามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ได้ จะหมายความว่าผู้บริโภคเรียนรู้และเข้าใจถึงบริการใหม่ของวอลล์มาร์ท และความสำเร็จนี้จะยิ่งส่งให้หุ้นวอลล์มาร์ทปรับตัวสูงขึ้นอีก ทั้งที่ช่วงก่อนหน้าจะมีบริการวอลล์มาร์ทพลัส วอลล์มาร์ทก็ทำกำไรในทุกๆ ไตรมาสได้ดีอยู่แล้ว
กำไรในไตรมาสที่สองของวอลล์มาร์ทเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 อยู่ที่ 97% และได้สถิติเป็นยอดขายที่สูงที่สุดตลอดกาลของบริษัท นอกจากนี้ยอดขายต่อบิลเป็นตัวเลขของวอลล์มาร์ทในไตรมาสที่แล้วยังเพิ่มขึ้นอีก 27% เมื่อเทียบในช่วงเวลาเดียวกัน นี่คือผลที่ได้มาจากการเติบโตของธุรกิจ E-Commerce ในช่วงโควิดล้วนๆ
โดยสรุปแล้ว
ถึงใครหลายคนจะมองว่าราคาหุ้นของวอลล์มาร์ทอยู่ในระดับที่สูงมากแล้ว แต่ในมุมมองของเราคิดว่าระบบค้าขายออนไลน์ของวอลล์มาร์ทได้ก้่าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการค้าปลีกไปก่อนบริษัทอื่นๆ เรียบร้อย จนถึงตอนนี้ยังไม่มีบริษัทค้าปลีกไหนนำโมเดลของการเก็บค่าบริการแบบภาพยนตร์สตรีมมิงมาใช้กับการซื้อของออนไลน์เหมือนวอลล์มาร์ท ดังนั้นเราจึงมองว่านี่คือก้าวที่ฉลาดมากและจะเป็นรากฐานของบริษัทในการค้าขายออนไลน์ต่อไปในอนาคต และเมื่อไหร่ก็ตามที่หุ้นวอลล์มาร์ทย่อตัวลงมา นักลงทุนไม่ควรพลาดที่จะเก็บหุ้นตัวนี้เอาไว้ในพอร์ตการลงทุน