ช่วงระหว่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สัปดาห์ที่แล้วมีนักลงทุนในตลาดหุ้นบาดเจ็บล้มตายจากการลงทุนเป็นจำนวนไม่น้อย ในขณะที่เราได้ทราบผู้ที่จะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนถัดไปเรียบร้อยแล้ว นักวิเคราะห์ก็เริ่มประเมินแล้วว่าหุ้นกลุ่มไหนน่าจะเป็นกลุ่มนี้ทำผลงานได้ดีที่สุดหลังการเลือกตั้งซึ่งอันดับหนึ่งยังคงเป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ตามมาด้วยหุ้นที่อยู่ในกลุ่มบริษัทประกันสุขภาพ สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะนักวิเคราะห์มองว่าเปอร์เซนต์การปันผลที่สูงจะช่วยชดเชยความเสียหายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเก็บภาษีและนโยบายหลักอื่นๆ ได้
ในบทความนี้ investing.com จะมาแนะนำสามหุ้นที่เราเชื่อว่าพฤติกรรมราคาหลังการเลือกตั้งจะสามารถทำให้นักลงทุนเข้าใจความคิดของเหล่าผู้จัดการกองทุนว่าพวกเขามีความเห็นอย่างไรต่อตลาด ในขณะเดียวกัน หุ้นที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันก็อาจจะได้แรงหนุนขาขึ้นตามไปด้วย
1. Uber
บริษัทผู้ให้บริการเรียกรถโดยสารสาธารณะผ่านช่องทางออนไลน์อูเบอร์ (NYSE:UBER) และบริษัทที่มีรูปแบบธุรกิจคล้ายกันกำลังจะกลายเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายของพรรคเดโมแครตเมื่อโจ ไบเดนได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ
ก่อนการเลือกตั้งบริษัทที่ทำธุรกิจแนวอูเบอร์กำลังประสบปัญหาเกี่ยวข้อบังคับทางกฎหมายที่ต้องการจะบังคับให้ผู้ที่ขับรถให้กับอูเบอร์กลายเป็นลูกจ้างประจำของบริษัท หากกฎหมายนี้ผ่านขึ้นมาจะทำให้อูเบอร์ต้องเสียภาษีในอัตราที่แพงขึ้น ชัยชนะของโจ ไบแดนและพรรคเดโมแครตเชื่อว่าจะทำให้บริษัทผ่านเรื่องนี้ไปได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการดังกล่าวที่อยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งเดโมแครตชนะขาดรอยอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
แทนที่จะมอบสิทธิประโยชน์จากการจ้างงานเป็นแบบพนักงานเต็มตัว ผู้ขับอูเบอร์ต้องการให้รัฐมอบสวัสดิการอย่างอื่นให้กับพวกเขามากกว่าเช่นการการันตีรายได้เมื่อมีผู้โดยสารกดเรียก การประกันสุขภาพ สิทธิสำหรับผู้พิการ ฯลฯ หากเป็นเช่นนั้นบริษัทอื่นๆ ที่มีบริการรูปแบบเดียวกับกันอูเบอร์เช่นลิฟต์ (NASDAQ:LYFT) โพสต์เมตและอินสตาการ์ดก็จะได้รับสิทธิประโยชน์นี้เช่นเดียวกันกับอูเบอร์
เมื่อวันพุธที่แล้วหุ้นของอูเบอร์ปรับตัวขึ้น 14% เมื่อได้เห็นว่าโจ ไบเดนสามารถหลุดการจี้ตามคะแนนของโดนัลด์ ทรัมป์ได้ จากขาขึ้นครั้งนี้ทำให้ราคาการซื้อขายหุ้นอูเบอร์อยู่ในระดับเดียวกันกับช่วงก่อนที่การแพร่ระบาดของโควิดจะเกิดขึ้น ตลอดทั้งปี 2020 หุ้นอูเบอร์สามารถปรับตัวขึ้นมาได้ 30% และมีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $44.89
2. United Health
บริษัทผู้ผลิตยาและดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการประกันสุขภาพคือผู้ที่จะได้รับประโยชน์หากว่าเดโมแครตไม่สามารถทำให้ทั้งสภาสูงและสภาล่างกลายเป็นเสียงข้างมากของพรรคได้ เพราะการที่เสียงในสภามีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันมากทำให้การปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับราคายามีโอกาสเกิดขึ้นได้ยาก เมื่อตลาดคาดการณ์เช่นนี้ ราคาหุ้นของบริษัทยูไนเต็ดเฮลท์ (NYSE:UNH) จึงปรับตัวสูงขึ้น เมื่อวันพุธที่แล้วหุ้น UNH วิ่งขึ้นอีก 10% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $347.46 ตลอดทั้งปี 2020 วิ่งขึ้นมาแล้ว 30%
นาย Asad Haider นักวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซคส์ให้ความเห็นเกี่ยวกับเหตุผลขาขึ้นครั้งนี้ว่า “การที่สภาถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันมากทำให้บริษัทผู้ผลิตยาเหล่านี้มีความเสี่ยงลดลงจากการเรียกเก็บภาษี ก่อนการเลือกตั้งบริษัทในกลุ่มนี้ต่างได้รับผลประโยชน์จากส่วนลดของค่า PE ที่สูงอยู่แล้ว เมื่อผลการเลือกตั้งน่าจะออกมาเป็นเช่นนี้ นักลงทุนจึงมั่นใจและวางเงินเดินพันกับหุ้นของยูไนเต็ดเฮลท์มากขึ้น”
3. Facebook
หุ้นของบริษัทสื่อโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่เฟซบุ๊ก (NASDAQ:FB) จะได้รับประโยชน์ไปด้วยเมื่อโจ ไบเดนได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพราะการที่เฟซบุ๊กถูกจ้องเล่นงงานเรื่องกฎหมายผูดขาดการค้าจากพรรครีพับลิกันอาจจะเบาบางลงในยุคของไบเดน
เมื่อเดือนตุลาคมมีรายงานจากสมาคมการค้าของสหรัฐฯ (FTC) ว่าภาครัฐจะใช้กฎหมายเกี่ยวกับการผูกขาดทางการค้ามาเล่นงานเฟซบุ๊ก ที่ผ่านมา FTC ใช้เวลาพิจารณาข้อเรียกร้องนานมากจากผู้เสียหายที่กล่าวว่าเฟซบุ๊กใช้พื้นที่โฆษณาที่ตัวเองมีในการคุกคามผู้ทำธุรกิจอื่นทางอ้อม ภายใต้การบริหารของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ตลอดสี่ปีที่ผ่านมาเฟซบุ๊กถูกคุกคามจากกฎหมายหลายครั้งมากทั้งเรื่องความสามารถในการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน การก่อให้เกิด hate speech และล่าสุดที่กำลังจะยกเรื่องการผูกขาดการค้ามาโจมตี
แม้ว่าเมื่อวันพุธที่แล้วหุ้นเฟซบุ๊กจะปรับตัวสูงขึ้นมากกว่า 8% แต่หากพรรครีพับลิกันได้ที่นั่งในสภามากกว่าเดโมแครต แม้โจ ไบเดนได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่แต่เฟสบุ๊กก็ยังมีโอกาสถูกคุกคามอยู่เรื่อยๆ ด้วยประเด็นเหล่านี้ต่อไปได้