นักลงทุนในตลาดกำลังเผชิญหน้ากับความผันผวนในจุดสูงสุดของปี 2020 นอกจากยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่กลับมาเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในไตรมาสที่สี่ พวกเขายังต้องลุ้นไปกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ตอนนี้ถือได้ว่าเข้าใกล้ฉากสุดท้ายของมหากาพย์แล้ว ยิ่งเข้าใกล้จุดตัดสินมากเท่าไหร่ นักลงทุนกลับพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะหาตัวเลือกสำหรับการลงทุนในระยะยาวสักตัว
โดยปกติแล้วนักลงทุนสายซื้อแล้วถือยาวมักจะไม่เป็นกังวลกับความผันผวนในระยะสั้นตอนนี้มากนัก พวกเขามักเลือกหุ้นโดยอ้างอิงจากความสามารถในการปันผลระยะยาวและความมีเสถียรภาพของบริษัทและการเติบโตของอัตราปันผลมาเป็นอันดับแรก หุ้นเหล่านั้นจะต้องสามารถปันผลได้แม้จะต้องเผชิญกับขาลงอย่างรุนแรงในเดือนมีนาคมหรือความผันผวนจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปัจจุบัน
มาตรฐานในการเลือกหุ้นให้ตรงตามความต้องการที่ investing.com ได้พูดถึงไปนั้นเรียบง่าย บริษัทนั้นจะต้องเป็นที่สามารถยึดครองพื้นที่ในตลาดของตนได้อย่างแข็งแกร่ง มีสภาพคล่องที่ดีและมีประวัติการปันผลต่อเนื่องที่เติบโตและยาวนาน หากเข้าข่ายตามเงื่อนไขเหล่านี้ มีความเป็นไปได้ที่บริษัทดังกล่าวจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการลงทุนระยะยาว
ในบทความนี้เราได้หยิบ 2 บริษัทที่มีคุณสมบัติตามที่เราพูดถึงมาให้ได้พิจารณา
1. Walmart Inc.
ด้วยคุณสมบัติอันมียอดขายที่เติบโต มีการบริหารบัญชีงบดุลที่ดีและมีสาขาอยู่มากมายทั่วทั้งสหรัฐอเมริกาทำให้บริษัทผู้ค้าปลีกชื่อดังอย่างวอลล์มาร์ท (NYSE:WMT) เป็นตัวเลือกแรกที่เราเชื่อว่าสามารถมอบเงินปันผลได้แม้สภาพเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ก็ตาม
วอลล์มาร์ทมีประวัติตัวเลขการปันผลที่สูงมากในทุกๆ ปีนับตั้งแต่บริษัทเริ่มปันผลในปี 1974 จนทำให้บริษัทถูกเชิญเข้าไปยังกลุ่ม VIP ของ S&P 500 ที่มีเพียง 53 บริษัทที่มีประวัติการปันผลดีต่อเนื่อง 25 ปีหรือมากกว่านั้นจึงจะสามารถเข้าร่วมกลุ่มได้
ตลอดช่วงระยะเวลาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปีนี้ วอลล์มาร์ทได้พิสูจน์ตัวเองให้กับทุกคนได้เห็นแล้วว่ายังสามารถปันผลได้ดีเพียงใดในยุคที่ผู้บริโภคถูกบังคับให้ก้าวเข้าสู่การซื้อขายออนไลน์ ในการรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด วอลล์มาร์ทสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้น 9.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 และยังเป็นตัวเลขที่มากกว่านักวิเคราะห์ประเมินเอาไว้ด้วย การเติบโต 9.3% นี้มาจากยอดขายสินค้าออนไลน์ผ่าน e-commerce ที่เติบโตขึ้นจากปีที่แล้วมากถึง 97% วอลล์มาร์ทยังคงเป็นตัวเลือกเบอร์ต้นๆ ในการซื้อและส่งสินค้ามาถึงประตูบ้านของผู้บริโภค
ปัจจุบันวอลล์มาร์ทมีเปอร์เซนต์การปันผลรายปีอยู่ที่ 1.56% มีการปันผลในแต่ละไตรมาสอยู่ที่ $0.54% ต่อหุ้น ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม หุ้นวอลล์มาร์ทปรับตัวขึ้นมาแล้วทั้งสิ้น 31% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $143.47
2. Microsoft Corporation
หากคุณเป็นคนที่เชื่อว่ายุคนี้ใครสร้างเทคโนโลยีใหม่ได้รวดเร็วกว่าคนนั้นคือผู้ที่ครองโลกแต่คุณไม่รู้ว่าควรเลือกบริษัทเทคโนโลยีใดดี เราขอแนะนำไมโครซอฟต์ (NASDAQ:MSFT) บริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ที่อยู่มานานแต่ยังพัฒนาตัวเองให้ทันสมัยอยู่เสมอ ปัจจุบันไมโครซอฟต์มีการปันผลที่สูงกว่าการปันผลครั้งแรกในปี 2004 มากถึงหกเท่า มีตัวเลขเปอร์เซนต์การปันผลรายปีอยู่ที่ 1.11% และมีตัวเลขการปันผลรายไตรมาสอยู่ที่ $0.56 ต่อหุ้น
ผู้ที่ถือหุ้นไมโครซอฟต์อยู่ในระยะยาวถือว่าเป็นคนที่โชคดีมาก เพราะนอกจากบริษัทจะอยู่ในวัฐจักรการเติบโตของเทคโนโลยีคลาวด์ในตอนนี้แล้ว ไมโครซอฟต์ยังมีสภาพคล่องที่ดีและมีอัตราการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 32.9 ในไตรมาสล่าสุด ยอดขายของไมโครซอฟต์ยังคงเติบโตจากการสมัครบัญชีใช้งานชำระเงินเพื่อใช้ผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟต์ไม่ว่าจะเป็น Office 365 หรือ Microsoft Team ผลิตภัณฑ์บนคลาวด์ของไมโครซอฟต์กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้และเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่มีการแพร่ระบาดอย่างเห็นได้ชัด
เราเชื่อว่าพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปรวมถึงความเชื่อเกี่ยวกับทำงานในโลกแบบเก่าได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างรวดเร็ว การต่อยอดผลิตภัณฑ์ในตำนานอย่าง Microsoft Office ให้สามารถใช้งานได้ผ่านคลาวด์หรือการสร้าง Azure ขึ้นมาสำหรับการใช้งานระดับองค์กรถือเป็นกลยุทธ์การต่อยอดที่ยอดเยี่ยม จนถึงปัจจุบันผู้บริโภคก็ยังนิยมผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟต์อยู่
ชื่อที่สร้างขึ้นมาแล้วพร้อมกับภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไปให้ทันยุคทันสมัยคือข้อได้เปรียบของไมโครซอฟต์ที่จะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาสถิติและความสามารถในการปันผลที่ยาวนานมาตั้งแต่ปี 2004 ให้อยู่ต่อไป ที่สำคัญยังช่วยเพิ่มความสามารถในการเติบโตทางผลกำไรและสภาพคล่องของบริษัทด้วย ล่าสุดหุ้นไมโครซอฟต์มีราคาปิดอยู่ที่ $223.29