ตลาดหุ้นยังคงผันผวนต่อเนื่องมาเป็นเวลาสองวันแล้วนับตั้งแต่เข้าสู่มรสุมการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ จนถึงวันนี้แม้โจ ไบเดนจะมีคะแนนนำทรัมป์ห่าง 264 คะแนนต่อ 214 คะแนนก็ยังไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ และกลายเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ได้อย่างแท้จริง
สถานการณ์ล่าสุดเหลือรัฐที่ยังไม่รู้ผลอย่างเป็นทางการอยู่ทั้งหมด 4 รัฐประกอบไปด้วย เนวาดา เพนซิเวเนีย จอร์เจียและนอร์ทแคโรไลนา แต่ความสนใจของผู้คนทั่วโลกตอนนี้กำลังจับตาอยู่ที่รัฐเนวาดาอยู่รัฐเดียวเพราะขอเพียง 6 คณะผู้เลือกตั้งจากรัฐนี้ก็จะส่งให้โจ ไบเดนได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนถัดไปโดยที่ไม่ต้องสนใจว่าอีกสามรัฐจะเป็นของทรัมป์หรือไม่ แต่สำหรับนักลงทุนและผู้เฝ้ามองเหตุการณ์อย่างเรา ยังมีหุ้นอยู่สามตัวที่พิจารณาแล้วว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมืองนี้
1. Moderna: บริษัทผู้แบกความหวังการช่วยโลกจากโควิด-19
บริษัทผู้ศึกษาวิจัยค้นขว้าเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพโมเดิร์นนา (NASDAQ:MRNA) เป็นหุ้นที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นตลอดทั้งปี 2020 นี้ด้วยขาขึ้นจากต้นปีมาจนถึงปัจจุบัน 250% บนความหวังที่ว่าบริษัทจะสามารถผลิตวัคซีนต้านเชื้อไวรัสโควิด-19 มาให้กับมนุษยชาติได้
ผลิตภัณฑ์วัคซีนของบริษัทที่มีชื่อเรียกว่า mRNA-1273 ตอนนี้กำลังอยู่การทดลองขั้นสุดท้าย ในการทดลองยาของสหรัฐอเมริกาเป้าหมายขั้นแรกที่จะพิสูจน์ได้ว่ายาของใครใช้งานได้จริงหรือไม่จะต้องผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) ให้สามารถใช้เป็นยารักษาฉุกเฉินได้
ครั้งหนึ่งในปี 2020 ราคาหุ้นของโมเดิร์นนาเคยทำผลงานขาขึ้นได้สูงมากถึง 385% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $69.73 และมีตัวเลขมูลค่ารวมของบริษัทอยู่ในตลาดที่ $27,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
แม้การรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมาตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS) จะน่าผิดหวัง แต่ตัวเลขกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดทำให้บริษัทเชื่อว่าพวกเขาจะสามารถทำยาให้ไปถึงขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการได้จริงๆ ในช่วงครึ่งหลังของเดือนนี้และจะรีบยื่นขออนุมัติจาก FDA ให้ได้เร็วที่สุด
นาย Stephane Bancel ผู้เป็น CEO ของบริษัทกล่าวในการรายงานผลประกอบการว่า “ผมเชื่อว่าเราจะสามารถประกาศใช้ยาต้านไวรัสโควิด-19 ของเราได้ภายในสิ้นปีนี้และปี 2021 จะเป็นปีแห่งประวัติศาสตร์การรักษาโรคของบริษัท” ในความเห็นของเรา ไม่ว่าใครจะได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล การรักษา และป้องกันประชาชนจากเชื้อไวรัสโควิด-19 จะต้องเป็นเรื่องแรกที่รัฐบาลให้ความสำคัญที่สุดเมื่อยาต้านไวรัสพร้อมออกสู่สาธารณะชน
2. Microsoft: บริษัทเทคโนโลยีรุ่นเก่าแต่ยังเก๋า
หากไม่พูดถึง 5 เทพหุ้นเทคฯ (FAANG) ที่สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดท่ามกลางภัยมรสุมโรคระบาด บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้เด็กรุ่นใหม่ๆ เลยคือไมโครซอฟต์ (NASDAQ:MSFT) เจ้าของผลิตภัณฑ์ในตำนานอย่างตระกูล “ออฟฟิศ 365 (Office 365)” ที่เปลี่ยนโครงสร้างบริษัทตัวเองมาลงทุนในเทคโนโลยีคลาวด์และนำผลิตภัณฑ์เดิมมาต่อยอดจนสามารถสร้างกำไรได้เป็นกอบเป็นกำในช่วงการปิดล็อกดาวน์ที่ผู้คนจำเป็นต้องทำงานอยู่แต่ในที่พักของตน
หุ้นของบริษัทไมโครซอฟต์เติบโตขึ้น 31% หากนับตั้งแต่เริ่มต้นปี 2020 มีจุดสูงสุดตลอดกาลอยู่ที่ $232.86 ซึ่งพึ่งสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 2 กันยายน มีราคาล่าสุดอยู่ที่ $216.46 และมีมูลค่าตลาดรวมแล้วทั้งสิ้น $1,560,000 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งถือว่ามากที่สุดเป็นอันดับสองของโลกรองจากบริษัทแอปเปิล
การรายงานผลประกอบการตามปีบัญชีไตรมาสที่หนึ่งเมื่อวันที่ 27 ตุลาคมของไมโครซอฟต์ ผลปรากฏว่ากำไรของบริษัทสามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ไปได้ ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณการเติบโตของเทคโนโลยีคลาวด์ในช่วงการแพร่ระบาด กำไรส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากผลิตภัณฑ์บนธุรกิจคลาวด์ทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น Azure, GitHub, SQL Server และ Windows Server เมื่อนำผลกำไรมารวมกันแล้วปรากฏว่าตัวเลขเพิ่มขึ้น 20% แบบปีต่อปี กำไรเพิ่มขึ้นมาอีก $13,000 ล้านเหรียญเมื่อเทียบกับสามเดือนก่อนหน้ากันยายน
ในไตรมาสที่ 4 นี้นักวิเคราะห์เชื่อว่าไมโครซอฟต์จะยิ่งทำตัวเลขผลกำไรได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมเนื่องจากบริษัทกำลังจะเปิดตัวเครื่องเล่นเกมรุ่นใหม่ “Xbox Series X” ในวันที่ 10 พฤศจิกายนที่กำลังจะถึง อย่างไรก็ตามสิ่งที่นักลงทุนต้องจับตาดูข่าวที่อาจกระทบกับไมโครซอฟต์คือความคืบหน้าเกี่ยวกับการถูกกล่าวหาว่ากีดกันทางการค้าโดยหน่วยงานของภาครัฐ นอกจากไมโครซอฟต์แล้วบริษัทชื่อดังอย่างแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) แอมาซอน (NASDAQ:AMZN) อัลฟาเบตเจ้าของกูเกิล (NASDAQ:GOOGL) และเฟซบุ๊ก (NASDAQ:FB) ก็โดนข้อหานี้ด้วยเช่นกัน
แม้มูลค่าตลาดของบริษัทจะสูงมาก แต่ไมโครซอฟต์ก็ยังเป็นตัวเลือกสำหรับการลงทุนที่ดีเมื่อพิจารณาจากการเติบโตของอุปสงค์ความต้องการบริการเทคโนโลยีบนคลาวด์ สิ่งนี้ทำให้ไมโครซอฟต์ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกแนวหน้าของวงการอย่างแท้จริง
3. Caterpillar: บริษัทก่อสร้างที่คาดหวังกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ
บริษัทแคเทอร์พิลลาร์ (NYSE:CAT) ผู้นำด้านเทคโนโลยีชั้นสูงในการผลิตเครื่องจักร อุปกรณ์สำคัญที่ใหญ่ที่สุดในโลก สำหรับอุตสาหกรรมการก่อสร้าง การทำเหมือง ดีเซล ก๊าซธรรมชาติ เครื่องยนต์ การเดินเรือ ระบบสำรองไฟ ปิโตรเลียม การขนส่ง ฯลฯ ถือเป็นตัวเลือกที่น่าพิจารณาในช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นี้
ตลอดทั้งปี 2020 หุ้นของแคเทอร์พิลลาร์เติบโตขึ้น 14% ให้ผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนกับดัชนีดาวโจนส์และเอสแอนด์พี 500 ยิ่งไปกว่านั้น หุ้นแคเทอร์พิลลาร์สามารถวิ่งขึ้นมาจุดต่ำสุดเดือนมีนาคมได้ประมาณ 91% คิดเป็นการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหุ้นเกือบสองเท่าตัว เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมาหุ้นแคเทอร์พิลลาร์พึ่งจะสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ที่ $171.26 มีราคาล่าสุดอยู่ที่ $155.26 และมีมูลค่าตลาดรวมแล้วทั้งสิ้น $91,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
แม้จะต้องเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนจากการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่บริษัทแคเทอร์พิลลาร์ก็ยังสามารถรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สามเมื่อวันที่ 27 ตุลาคมออกเป็นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ได้ไม่ว่าจะเป็นทั้งตัวเลขผลกำไร และการปันผลต่อหุ้น นาย Jim Umpleby ผู้เป็น CEO ของบริษัทกล่าวถึงการรายงานตัวเลขผลประกอบการที่น่าประทับใจนี้ว่า
“ผมมีความภูมิใจกับพนักงานของบริษัททั่วโลกมากที่ยังสามารถดูแลต้อนรับ และให้บริการกับลูกค้าได้เป็นอย่างดีแม้ว่าเรากำลังผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ผมหวังว่ายอดขายในไตรมาสที่สี่จะสามารถเติบโตขึ้นจากไตรมาสที่สามได้ แม้เพียงเล็กน้อยก็ถือว่าดีมากแล้ว”
สิ่งที่บริษัทแคเทอร์พิลลาร์ให้ความสนใจมากกว่าใครจะได้เป็นรัฐบาลคือขนาดของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสอง ยิ่งมีการกระตุ้นมากเท่าไหร่ การเติบโตของหุ้นบริษัทก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมากเท่านั้น