แม้จะเป็นช่วงรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สามปี 2020 ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา แต่สัปดาห์นี้ไม่มีเหตุการณ์ไหนสำคัญไปกว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 3 พฤศจิกายนอีกแล้ว สถานการณ์ล่าสุดโพลหลายสำนักระบุตรงกันว่าผู้ท้าชอง โจ ไบเดนจากพรรคเดโมแครตมีโอกาสที่จะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป ผลสำรวจจาก FiveThirtyEight เผยว่าโจ ไบเดนมีโอกาสชนะประมาณ 89% โดยเฉลี่ยแล้วโดนัลด์ ทรัมป์มีคะแนนตามโจ ไบเดนอยู่ประมาณ 7.8 แต้ม
ท่ามกลางบรรยากาศของการเลือกตั้ง อีกเรื่องหนึ่งที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในยุโรปและสหรัฐฯ สัปดาห์ที่แล้วตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถูกพิษโควิดทำร้ายจนมีราคาปิดต่ำที่สุดนับตั้งแต่การร่วงลงในช่วงเดือนมีนาคม NASDAQ 100 ปรับตัวลดลง 2.6% ในขณะที่ S&P 500 ร่วงลงไป 5.6% ซึ่งถือเป็นการลงก่อนการเลือกตั้งมากที่สุดของตัวดัชนีเอง
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนเชื่อว่าหลังจากการเลือกตั้งผ่านไป ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะดีดตัวกลับขึ้นมา หากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าขาลงในตอนนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าถือหุ้นตัวที่คุณชอบ ดังนั้นบทความนี้เราจะมาดูบริษัทที่จะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์แห่งความผันผวนว่าจะมีตัวเลือกใดที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนบ้าง
1. PayPal
บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้เป็นตัวกลางการชำระเงินระหว่างประเทศเพย์พาวล์ (NASDAQ:PYPL) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สามปี 2020 ในวันนี้หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิด โดยเฉลี่ยแล้วนักวิเคราะห์ประเมินว่าเพย์พาวล์จะมีรายงานตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.94 และมีกำไรตลอดทั้งไตรมาสอยู่ที่ $5,420 ล้านเหรียญสหรัฐ
จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนมาจับจ่ายใช้สอยผ่านระบบออนไลน์มากขึ้นจึงทำให้นักวิเคราะห์มองว่ายอดการใช้บริการชำระเงินผ่านเพย์พาวล์ในไตรมาสนี้ย่อมเติบโตขึ้นเช่นเดียวกันบริษัทอื่นๆ ที่ทำธุรกิจผ่านระบบออนไลน์เป็นหลัก เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาเพย์พาวล์ได้บอกตัวเลขคาดการณ์การเติบโตกับนักลงทุนว่าจะเติบโตขึ้นอีก 25% ในไตรมาสนี้ ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทยังคาดว่าปริมาณการชำระเงินผ่านเพย์พาวล์จะเพิ่มขึ้น 30%
เพย์พาวล์คาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมียอดผู้เปิดบัญชีเพิ่มขึ้นอีก 70 ล้านบัญชีเพราะการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคมาเป็นการใช้งานผ่าน e-commerce มากขึ้น ตลอดทั้งปี 2020 จนถึงปัจจุบันราคาหุ้นเพย์พาวล์ขึ้นมาแล้ว 22% มีราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ $186.12 ปรับตัวลดลง 4.5% ในวันศุกร์ที่ผ่านมา
2. Qualcomm
บริษัทผู้ผลิตชิปโทรศัพท์มือถือฝั่งแอนดรอยด์ชื่อดังควอลคอมม์ (NASDAQ:QCOM) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สามปี 2020 ในวันพุธที่ 4 พฤศจิกายนหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทผู้ผลิตชิป “SnapDragon” จะสามารถรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สามออกมาที่ $5,900 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.17
จากการเปิดตัวโทรศัพท์มือถือไอโฟน 12 ที่สามารถรองรับเทคโนโลยี 5G ได้อย่างเป็นทางการของบริษัทแอปเปิล ทำให้นักวิเคราะห์เชื่อว่าควอลคอมม์จะได้รับประโยชน์ทางอ้อมตามไปด้วย พวกเขาเชื่อว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่จะตัดสินใจขายมือถือที่มีอยู่ในมือตอนนี้และหันไปหามือถือที่รองรับ 5G มากยิ่งขึ้นซึ่งย่อมส่งผลกระทบเชิงบวกต่อยอดขายชิปฯ ของบริษัทด้วย
ในการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สอง ควอลคอมม์ได้อธิบายกับนักลงทุนให้ได้ทราบว่าเทคโนโลยี 5G จะมาถึงเร็วขึ้นเพราะไวรัสโควิด-19 ที่ไม่อนุญาตให้ผู้คนออกไปพบปะสังสรรค์ทำให้ผู้บริโภคต้องการมือถือที่สามารถติดต่อสื่อสารได้อย่างรวดเร็วและไม่มีสะดุด ตลอดทั้งปี 2020 จนถึงปัจจุบันราคาหุ้นควอลคอมม์ขึ้นมาแล้ว 40% มีราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ $123.36 ปรับตัวลดลงมากกว่า 2% ในวันศุกร์ที่ผ่านมา
3. T-Mobile
บริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายชั้นนำในสหรัฐอเมริกาที-โมบาย (NASDAQ:TMUS) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สามปี 2020 ในวันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายนหลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด ที-โมบายคาดว่าจะสามารถรายงานตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.46 และรายงานตัวเลขผลกำไรในไตรมาสที่สามอยู่ที่ $18,290 ล้านเหรียญสหรัฐ
หลังจากควบรวมกับเอทีแอนด์ที (NYSE:T) ซึ่งมีผู้ใช้งานมากกว่า 98.3 ล้านคนทั่วสหรัฐฯ ได้สำเร็จในเดือนสิงหาคม ที-โมบายหวังว่าจะสามารถเพิ่มลูกค้าผู้ใชบริการภายในปีนี้ได้ประมาณ 1.7 - 1.9 ล้านคน แม้จะเป็นตัวเลขที่น้อยกว่า 4 ล้านคนของปีที่แล้วแต่ที-โมบายก็มีประวัติที่ดีในการเพิ่มยอดผู้ใช้งานมาโดยตลอด
จากการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สองในเดือนสิงหาคม พบว่าที-โมบายสามารถทำผลงานได้อย่างโดดเด่นเหนือคู่แข่งอื่นๆ ตลอดทั้งปี 2020 จนถึงปัจจุบันหุ้นที-โมบายปรับตัวขึ้นมาแล้ว 40% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $109.57 ปรับตัวขึ้นตลอดทั้งวันศุกร์ที่แล้ว 0.05%